“ก่อรูป” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๒

  คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๒ ตอน “ก่อรูป” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์   ผลจากการประชุมอย่างหนึ่งที่แน่ๆก็คือเราต้องหาสมาชิกเพิ่ม  พยายามขยายไปตามโรงเรียนต่างๆให้มากที่สุด ผมจำได้ว่าเราทำกันสองสามวิธี  ประการแรกก็คือไปหาเพื่อนต่างโรงเรียนที่เรารู้จัก ผมเข้าใจว่า ป้อม สุจินดา เพื่อนบ้านงิ้วรายของชีฯเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาด้วยวิธีนี้ เธอเรียนอยู่สตรีวัดระฆัง ผมชวนหลายสาวที่เรียนอยู่สตรีวิทย์  มนัสชวนเพื่อนจากสุวรรณาราม ผมเข้าใจว่าเพื่อนศึกษานารีที่จัดงานภาษาอังกฤษด้วยกัน มาร่วมประชุมตั้งแต่ต้นที่บ้านโตแล้ว แต่มีสองคนจากศึกษานารี ที่ไม่ได้ร่วมกับงานชมรมฯ แต่ไปเจอกันที่ศึกษิตสยาม คือรังสิมา ลิมปิสวัสดิ์ และ วาสนา พุ่มพัดตุน สองคนนี้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์ภัทรศรี อนุมานราชธน  หนีโรงเรียนไปเหมือนเรา เพราะอ่านหนังสืองงานศพของโกมล คีมทองเหมือนกัน จำได้ว่าตอนจะตั้งกลุ่ม นัดเจอเธอทั้งสองที่ข้างห้องสมุดวัดอนงคาราม ตรงวงเวียนเล็กในสมัยนั้น เธอทั้งสองอยู่มศ.๔ ผมอยู่มศ.๕ สันติสุข โสภณสิริอาจจะอยู่ด้วย เพราะเข้าคุ้นกับห้องสมุดนี้ดี เขาเคยบอกว่าเขาอ่านหนังสือหมดทุกเล่มในห้องสมุดนี้ อีกวิธีหนึ่งคือไปตามโรงเรียนที่มีครูฝึกสอนที่เคยมาสอนเรา และสนิทสนมกัน ผมจำได้ว่าทำให้เราได้เพื่อนจากวิทยาลัยครูธนบุรี มาร่วมด้วย… Continue reading “ก่อรูป” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๒

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๑

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๑ ณ กันยายน ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ 
อนุสารรายครึ่งเดือน 
คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน ดาวโหลดได้ที่  อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๑ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/09/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๑.pdf     ลำดับบทความในอนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๑ ๑. งานเขียนรางวัลธรรมวรรณศิลป์ เรื่อง ขอบคุณทุกๆทุกข์ ๒. คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน แลกด้วยชีวิต     ภาพประกอบจากการอบรม ณ สำนักสงฆ์เขาชะเมาวิมุติ ร่วมกับโครงการภาวนาคือชีวิต ในวันที่ ๒๒ ถึง ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘   { ธรรมวรรณศิลป์ มี ๒ นัยยะสำคัญ {หนึ่ง วรรณศิลป์ที่ส่งมอบความดี ความงาม และความจริงแก่ผู้อ่านและสังคม สอง… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๑

แลกด้วยชีวิต

  หายใจเข้า  ทุกลมหายใจคือการตัดสินใจ หายใจออก ทุกการตัดสินใจคือความรับผิดชอบต่อชีวิต เมื่อเราจรดปลายปากกา ทุกถ้อยคำที่ลากเส้นขดม้วน ตรงและโค้ง คือการเลือกและการตัดสินใจ ทุกๆ เสี้ยวเวลาแห่งการเขียน เปี่ยมด้วยความรับผิดชอบและการกล้าเข้าแลก ชีวิตเราอยู่กับการตัดสินใจเกือบตลอดเวลา ตั้งแต่ยามเช้าเราเลือกว่า จะหยิบสวมเสื้อผ้าใด ทักทายคนในครอบครัวอย่างไร กินข้าวเช้ากับอะไร จะรับมือกับปัญหาจราจร เดินทางไปทำงาน และจัดการกับภาระงานตลอดทั้งวันอย่างไรบ้าง  เราต้องตัดสินใจนับตั้งแต่ตื่นนอนจวบจนสิ้นวัน สถานการณ์ต่างๆ มาให้เราได้เลือกได้ตัดสินใจรู้สึก นึกคิด และลงมือทำ ชีวิตเราขึ้นอยู่กับปัจจัยนานา ทว่าสิ่งสำคัญนั้นคือการตัดสินใจของเราเอง ทุกขณะใจ มีการเลือกและการตัดสินใจแทบตลอดเวลา เมื่อเราพบเจอสิ่งมากระทบความรู้สึก จิตใจเลือกเฟ้นท่าที คิด รู้สึก และตอบโต้  ทุกความรู้สึกในใจเรามิใช่ความรับผิดชอบของผู้อื่น แต่เกิดจากการเลือกของตัวเราเอง เราเลือกสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมา โดยอาศัยสิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นเครื่องปรุง หายใจเข้า หัวใจคือหน้ากระดาษ และจานอาหาร เรามีวัตถุดิบจากภายนอกตัว นำมาคลุกเคล้าและสร้างผลงานเขียนหรืออาหารจานใหม่ด้วยมือเราเอง หายใจออก จิตใจเรามีศักยภาพแห่งการสร้างสรรค์ เราคิด รู้สึก และปรุงแต่งภายในตลอดเวลา เหมือนสมุดบันทึกที่เราเลือกเขียนสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเราเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเราคือผลของการเลือกของตัวเราเอง ทุกขณะที่เราจรดปลายปากกาลง มิว่าลงบนหน้ากระดาษสมุดบันทึกหรือกระดาษแห่งจิตใจ ทุกคำที่เขียน คือการตัดสินใจของตัวเรา… Continue reading แลกด้วยชีวิต

การอบรม “เขียน = มหัศจรรย์ชีวิต” ประจำปี ๒๕๕๘

การอบรมกระบวนการเขียนทางจิตวิทยาเพื่อการใคร่ครวญชีวิตและการภาวนา “เขียน = มหัศจรรย์ชีวิต” : ใคร่ครวญสายธาร + เล่นล้อสัญญาณ + บ่มจิตวิญญาณ คอร์สกึ่งออนไลน์ เขียนเปลี่ยนชีวิต ชุดที่ ๑๐ @๒๕๕๘   โดย ศูนย์การเขียนเปลี่ยนชีวิต สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ผู้ริเริ่มคอร์สกึ่งออนไลน์การเขียนบันทึกเพื่อพัฒนาชีวิตแห่งแรกในประเทศไทยและมุ่งมั่นการจัดกิจกรรมเนื้อหาเชิงลึกและการให้คำปรึกษาที่ค่าใช้จ่ายน้อยและนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างยั่งยืน   “เดินทางภายในจิตใจ ผ่านสายธารแห่งชีวิต สัญญาณนิมิตหลากหลาย 
ภาวนาเพื่อบ่มเพาะหัวใจและจิตวิญญาณ”   ที่มาและความสำคัญ สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ได้จัดการอบรมและการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการเขียนบันทึกและการเขียนเชิงกระบวนการเพื่อดูแลและพัฒนาสุขภาวะทางจิตใจและร่างกาย ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อตนเองและความเข้าใจชีวิต โดยไม่ต้องอาศัยทักษะการเขียนและทักษะด้านศิลปะ พร้อมกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบผ่านประสบการณ์อย่างมีส่วนร่วม ควบคู่กับกระบวนการเรียนรู้แบบจิตปัญญาศึกษา ให้กับกลุ่มบุคคลทั่วไปและกลุ่มเฉพาะ หลากหลายอาชีพและช่วงวัย การอบรมในลักษณะนี้ทั้งแบบในห้องเรียนและทางไกล เป็นการอบรมที่ผสมผสานการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ การผ่านประสบการณ์อย่างมีส่วนร่วม และกระบวนการทางจิตวิทยา ประเด็นสำคัญของการอบรมชุดนี้ ๑. การเขียนเชิงกระบวนการและการเขียนบันทึกเพื่อส่งเสริมการภาวนา ๒. การเขียนเชิงกระบวนการและกิจกรรมใคร่ครวญชีวิตมิติเรื่องราว สัญญาณและนัยยะชีวิต ๓. การเขียนเชิงกระบวนการเพื่อฝึกฝนทักษะการเล่นล้อกับสัญญาณในชีวิตและในการเขียนรูปแบบต่างๆ รูปแบบการอบรม การอบรมแบ่งเป็น ๓ รูปแบบ ดังนี้ ๑. อบรมเฉพาะ… Continue reading การอบรม “เขียน = มหัศจรรย์ชีวิต” ประจำปี ๒๕๕๘

“จุดเริ่มต้น” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๑

  คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๑ ตอน “จุดเริ่มต้น” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์     เย็นวันนั้นของเดือนสิ่งหาคม ๒๕๑๔ เป็นเย็นวันสุดท้ายของงานสังคมนิทัศน์ ชีรชัย มฤคพิทักษ์เดินมาหาผมที่ห้องนิทัศน์การเกี่ยวกับสวนโมกข์  มนัส จินตณดิลกกุล เพื่อนๆจากศึกษานารีที่เคยจัดงานของชมรมภาษาอังกฤษ และผมเป็นคนช่วยกันจัดห้องนี้ ชีรชัย ชวนให้มนัสกับผมไปช่วยพูดหาเสียงที่โรงอาหารใกล้ศาลาพระเสร็จในโครงการ “เลือกตั้งจำลอง” ที่เขาและเพื่อนอีกหลายโรงเรียนเป็นคนจัด  เป็นการพูดเกือบจะปิดท้าย จำได้ว่าประเด็นเก๋ของการหาเสียงของคณะนี้ก็คือ ดอกไม้ประจำชาติไทยคือดอกเบี้ย เพราะรัฐกู้เงินต่างประเทศมามาก และงบประมาณจำนวนมากถูกใช้ไปเพื่อชำระดอกเบี้ย คนที่พูดเรื่องได้เด็ดคือพเยาว์ ยรรยงยุทธ์ นักเรียนจากโรงเรียนเอกชนฝั่งธนฯผมจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว เมื่อชีรชัยมาชวนให้ผมไปพูดนั้น “เฮ้ย กูพูดไม่เป็นนะเรื่องอื่น พูดได้เรื่องเดียวเรื่องการศึกษา” ผมออกตัวเพราะกำลังตื่นเต้นกับแนวคิดวิพากษ์การศึกษาของท่านอาจารย์พุทธทาส “เออ นั่นแหละ เอาเลย” ชีฯให้กำลังใจ ที่ผมมั่นใจว่าพูดเรื่องนี้ได้ เพราะตอนนั้นผมกำลังอ่านงานท่านอาจารย์พุทธทาสมาก ท่านก็โจมตีระบบการศึกษามาก เรื่องนี้คงขึ้นสมอง ประเด็นที่พูดก็ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่า ระบบการศึกษาปัจจุบันทำให้คนเห็นแก่ตัว และทำลายความเป็นมนุษย์อะไรทำนองนั้น ผมคงพูดได้มันพอสมควรเพราะกำลังเบื่อหน่ายกับการแข็งขันในห้องเรียนอย่างยิ่ง… Continue reading “จุดเริ่มต้น” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๑

บันทึกกิจกรรมและความรู้สึกหลังการเรียน ## ปอง

บันทึกกิจกรรมและความรู้สึกหลังการเรียน ## ปอง หลักสูตร ห้องเรียนนักกล้าฝัน เดือนแรก     วันที่ 5 กันยายน 2558 หัวข้อ “พื้นที่ชีวิต ความปลอดภัย และ ความไว้วางใจ” โดย อ.อนุรักษ์ เม่นหรุ่ม ประสบการณ์และความรู้สึกหลังการเรียน   ประทับใจมาก เมื่อเทียบกับการเรียนกระบวนกรชั้นต้นในสถาบันอื่น กิจกรรมที่อ.โอเล่ให้ลองทำในวันแรกนี้ สัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะฝึกฝนผู้เข้าร่วมให้เข้าใจในงานกระบวนกร และสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ข้อสังเกต บทเรียน และ การประยุกต์ กิจกรรมที่ชื่นชอบมากที่สุดคงเป็นในส่วนของกิจกรรมกล้องถ่ายรูป แม้จะเป็นกิจกรรมเพียงสร้างความคุ้นเคยและยังไม่ได้สรุปมาก แต่สัญญาณร่างกาย ณ ขณะร่วมกิจกรรมให้ความรู้สึกของการปล่อยวาง การไว้วางใจ และที่รับรู้ได้ คือ ทุกครั้งที่เปิดตาจะเกิดความรู้สึก ละมุน wow! สัมผัสได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดของภาพที่เห็นมากขึ้น ทั้งๆที่ภาพเหล่านี้ก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในช่างภาพที่ตั้งใจสร้างภาพที่สวยงามให้กับผู้ชม การขมวดประเด็นที่ชื่นชอบจะเป็นเรื่องของการเขียนเพื่อทดสอบทิฐิปาทานในใจตนเอง สามารถมองเห็นว่าเรามีมากหรือ น้อย การสร้างหน้ากระดาษในส่วน “ฉันเคย ฉันมี และ ฉันเป็น” ที่ใหญ่จนแทบไม่เหลือพื้นที่รับความคิด “… Continue reading บันทึกกิจกรรมและความรู้สึกหลังการเรียน ## ปอง

“เพศฉันคือเธอ” คอลัมน์ ปัญญามีความรัก #๓

    เล็ก เธอเคยบอกว่าพ่อแม่กับตัวเธอเองนั้นมิอาจเข้าใจกันและกัน เพราะความต่างของเพศทำให้เป็นอุปสรรคขัดขวาง ฉันเองก็รับฟังเธอนะ คนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี้หรือเบื้องหลังอักษร เพียงรู้ว่าเป็นเธอมิใช่กำหนดจำกัดด้วยเพศคำใด  เธอเคยบอกด้วยว่าในตัวฉันก็มีบางอย่างเหมือนแม่เธอด้วย และตนจะไม่ใส่ใจ ฉันก็ยอมรับสิ่งที่เธอกล่าวและการตัดสินใจนี้ แต่เล็กเอย พระองค์ท่านผู้เป็นเช่นนั้นมิเคยกล่าวเลยว่าเพราะเราเป็นหญิงชายผิดแผกจึงไม่สามารถเข้าใจกัน ท่านไม่ได้บอกเราให้มองใครคนหนึ่งเป็นหญิงหรือชายนะ แล้วเหตุใดที่คนเรามิอาจเข้าใจกันได้ และไยการเป็นเพศใดเพศหนึ่งจึงทำให้เธอและอีกหลายคนบนโลกนี้ทุกข์ใจนัก เพศ นั้นเป็นเพียงบทบาทสมมติหนึ่งนะคนดี เหมือนที่เราเคยเล่นสวมเป็นโจรบ้าง เป็นตำรวจบ้าง หรือเป็นเจ้าชาย เป็นเจ้าหญิงในวัยเยาว์ เราเพียงสวมบทนี้เพื่อทำหน้าที่ในแต่ละการเกิด เพศยังเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ หมื่นแสนการสมมติบทบาท นอกจากเพศแล้วก็ยังมีอาทิเช่น ตระกูลมีชื่อ ลูกคนนั้นคนนี้ เป็นคนถิ่นใดถิ่นหนึ่ง มีการศึกษา เป็นคนชั้นกลาง และอีกมากมายเลยนะเล็ก เราต่างเกิดมาเป็นเช่นพระองค์ท่าน คือเป็นผู้เช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมดา แต่แล้วเจ้าสิ่งหนึ่งก็มาทำให้ใจเราพองฟู หรือเหี่ยวเฉาเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็น เล็กรู้ไหมสิ่งนั้นเรียกว่า มานะ เจ้าสิ่งนี้คือความถือคุณค่าและการเปรียบเทียบ เขาเหมือนดวงตามหึมาบนท้องฟ้าที่มืดดำของจิตใจ มีหลายดวงตาเลย ลองนับตามที่ฉันชี้นะ ๑ คือดวงตาที่ชอบกดข่มคนอื่น ๒ ชอบยกตัวเองให้สูง นี่กลุ่มดาวมหึมากลุ่มแรก  อีกหนึ่งมีดวงตามองว่าฉันดีกว่าเธอ มองว่าเราเท่าเทียมกัน หรือฉันแย่กว่าเธอ ดาวมานะยังมีอีกหลายรูปแบบเลย กลุ่มหนึ่งพวกเขามีอยู่… Continue reading “เพศฉันคือเธอ” คอลัมน์ ปัญญามีความรัก #๓

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๐

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ๑๐ ณ กันยายน ๒๕๕๘ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ 
อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด ดาวโหลดได้ที่ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/09/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๐.pdf อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน     “อนุสารหรือวารสารเล็กๆ ออนไลน์เล่มนี้ได้ย่างก้าวสู่ฉบับที่สิบแล้ว ตามเจตจำนงมุ่งมั่นว่า เราเขียนเพื่อใคร่ครวญตน สู่การอ่านชีวิตอย่างประจักษ์แจ้ง และเพื่อมอบเมล็ดพันธุ์ธรรมวรรณศิลป์สู่สังคม”     ลำดับบทความในอนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๐ ๑. งานเขียนรางวัลธรรมวรรณศิลป์ เรื่อง หน้ากาก รูปภาพ สีเทา ๒. คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน พลังทั้งห้า ๓. คอลัมน์ ปัญญามีความรัก ตอน เพศฉันคือเธอ    

พลังทั้งห้า

  หายใจเข้า  เราน้อมพาอากาศและธาตุนานาเข้าสู่ร่างกาย ผ่านช่องทางหายใจและประตูต่างๆ เติมเชื้อพลังแก่ชีวิต เหมือนใส่ฟืนไม้หรือถ่านสู่เตา หายใจออก  เราจุดพลังในตนเองเฉกเช่นจุดไฟฟืน ปะทุความร้อนเป็นเปลวกระพือ ก่อนนำพลังออกมาใช้เพื่อกิจวัตรและกิจกรรมของตน  เหมือนการจุดไฟเพื่อประกอบอาหารหล่อเลี้ยงชีวี การเขียนก็เป็นเช่นการประกอบอาหาร เราต้องใช้พลังลงมือทำ ผลักดันให้ปากกาลากเส้นลิขิตอักษร เกิดเป็นงานเขียนชิ้นหนึ่ง ซึ่งท้ายสุดสิ่งนี้จะบ่มพลังในตัวผู้เขียนและผู้อ่านอีกด้วย ชีวิตจะก้าวไปข้างหน้าได้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้แหล่งพลังงาน เราต้องมีวิธียังพลังนั้นให้ให้คงโหมแรงพอพาเราก้าวไป  เปรียบชีวิตกับรถยนต์ เราเติมแก๊สหรือน้ำมันแล้วยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีไฟฟ้าจุดติดเครื่อง ต้องมีน้ำมันเครื่องคอยหล่อเลี้ยง และที่สำคัญต้องมีพลังของการขับขี่จึงจะควบคุมรถยนต์ให้เคลื่อนที่ หายใจเข้า พลังของชีวิตนั้นมีอยู่หลายด้าน จำเป็นต้องดูแลให้ครบถ้วนเหมาะสม พลังของชีวิตนั้นแลคือสิ่งที่จะสร้างสรรค์งานเขียน หากเราไร้ซึ่งพลังชีวิตแล้วย่อมมิอาจเขียนผลงานที่ดีได้ เพราะการสร้างสรรค์คือการเคี่ยวคั้นเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเราเป็นเชื้อไฟ เช่นร่างกายต้องมีพลังในการสร้างและซ่อมแซมส่วนต่างๆของเราตลอดเวลา พลังของชีวิตนั้นคือพลังของการสร้าง หากเรามิอาจหล่อเลี้ยงพลังชีวิตตนอย่างเหมาะสม ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองพลัง เราย่อมแห้งเฉาเหมือนพืชผักขาดการรดน้ำ หายใจออก ในทางพุทธศาสนา เราแบ่งพลังออกเป็นห้าส่วนด้วยกัน พลังเหล่านี้พาชีวิตเราเติบโตและก่อเกิดงานเขียนสร้างสรรค์ พลังอย่างแรกคือศรัทธาหรือความไว้วางใจ เมื่อเราพามือจับปากกา เราต้องวางใจในตนเองเพียงพอที่จะสร้างพื้นที่แห่งการเขียน ให้ความคิด ความรู้สึก และจินตนาการได้หลั่งไหลอย่างไม่มีการปิดกั้น วางใจว่าเรามีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์อยู่แล้วเพียงต้องให้โอกาสลงมือทำ  วางใจในทุกความหมายที่ถ้อยคำปรากฏ วางใจว่าหน้ากระดาษแผ่นนี้คือพื้นที่แห่งการดูแลตนเองและการเติบโต ศรัทธาต่อคุณค่าของตนเอง เราจึงปล่อยเรื่องราวได้เดินทาง  ศรัทธาว่าการเขียนจะพาเราพัฒนาชีวิตทั้งมิติความคิด จิตใจ ร่างกาย และด้านอื่นๆ  เราจึงเขียนเพื่อบ่มเพาะชีวิต… Continue reading พลังทั้งห้า

“ธงใจเหนือความกลัว” คอลัมน์ ปัญญามีความรัก #๒

  เล็ก ในคำตอบที่เธอตอบฉันมา อีกหลายเรื่องราวที่เราคุยกันกาลก่อน ฉันพินิจเห็นความกลัวในใจเธอ ฉันเห็นความกลัวนั้นเกิดขึ้นอยู่ เหมือนเด็กน้อยแอบอยู่หลังบานประตู มีคุณผู้ปกครองอยู่หน้าบ้าน คือความรู้สึกภายนอก การตัดสินใจ และความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ คอยปกป้องเด็กน้อยคนนี้  เล็ก เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในเมืองกรุงหลวงของประเทศเรา ทำร้ายและพรากชีวิตผู้คนจำนวนมากนั้น เธอเห็นความกลัวเหมือนฉันไหม ความกลัวแพร่กระจายออกมาหลังเสียงกัมปนาท ฉันเฝ้าดู รับรู้ และเพียรเมตตาต่อความกลัวมากมายที่เกิดขึ้น เธอลองดูสิ มีข่าวลืมต่างๆ มีคำประณามสาปแช่ง อีกเสียงร้องอันเจ็บปวด ความพยายามหาผู้รับผิดชอบ คำพูดหลายคำเกิดก่อจากสัญญารับรู้เก่า อันตีความตัดสินบางกลุ่มหรือบางบุคคลไว้ กล่าวโทษกันและคาดคิดภัยร้ายสืบเนื่องเชื่อมต่อ ข่าวสารเล่นล้อเหตุการณ์เชื่อมโยง ความกลัวเกิดขึ้นฉับพลันเหมือนเสียงแห่งการทำลายแล้วแพร่กระจาย ฉันเองก็เห็นความกลัวในตนเอง ความห่วงใยบังเกิดขึ้นในใจฉัน ความกลัวกระตุ้นความคิดปรุงแต่งเป็นกังวล ในตอนนั้น หากฉันทำได้คงติดต่อไถ่ถามเธอเช่นกัน ขณะความกลัวกำลังครอบงำสังคม ฉันก็เห็นแง่งามผลิบานขึ้นน้อยๆ ด้วยการทำร้ายกันนี้หมายสร้างความกลัวและใจเกลียดชัง ดอกรักก็ยังมีพื้นที่หยัดยืน คนรู้จักกันที่ไม่เคยทักถามนานนับนาน ติดต่อกันทางไกล ใครต่อใครหลายคนส่งผ่านกำลังใจและความหวัง กิจกรรมการกุศลเกิดก่อ ช่วยเหลือกันแม้เป็นคนแปลกหน้าแปลกตา เส้นทางของเราอยู่ที่นี่ เล็ก ผู้ใดหมายทำลายชีวิตต่อหน้าท้าวมหาพรหม อาจจุดไฟความกลัวและความโกรธแค้นได้ แต่เขามิอาจทำลายความรักที่ยิ่งใหญ่ มหาพรหมยังคงคู่แผ่นดินนี้ งอกงามจากดินแม้พายุก้าวร้าว พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเราว่าพรหมคือความรักนั้นอยู่ในสี่ประการ คือเมตตา กรุณา มุทิตา… Continue reading “ธงใจเหนือความกลัว” คอลัมน์ ปัญญามีความรัก #๒