อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๗

  “วันเวลาให้โอกาส” ……หากชีวิตเราคือการก้าวเดิน วันเวลาที่มิใช่สายลมที่พัดพาเราก้าวไปข้างหน้า หากแต่วันเวลาคือระยะทางที่สองเท้าของชีวิตย่างก้าว ระยะทางนั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจและการลงมือทำของเรา… “อารมณ์ศิลปะ” …… เขาว่ากันว่าศิลปินเมื่อผิดหวังหรือไม่พอใจในบางสิ่งบางอย่าง จะสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกได้ ณ เวลานั้น เขาจะทุ่มเทหัวใจและฝีมือสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้า ระบายความไม่ได้ดั่งใจและโทสะ ซึ่งฝังรากหยั่งลึกในหัวใจของเขาออกมาสู่งาน….   ~ ภาพปก จากอบรม “พลังแห่งจิต หนึ่งคิดลิขิตใจ” ~   อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ๑๗ ณ ธันวาคม ๒๕๕๘ 
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑ 
อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน   รายการบทความประจำ ฉบับ ความหลังครั้งยุวชนสยาม ตอนที่ ๔ ตามขุด คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน วันเวลาให้โอกาส คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก ตอน อารมณ์ศิลปะ คอลัมน์ สัมผัสใน… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๗

“เขียน = ค้นพบตัวเอง ” ประจำปี ๒๕๕๙ เปิดรับสมัคร

    การอบรมกึ่งออนไลน์ และ Workshop ๒ วัน กระบวนการเขียนเชิงกระบวนการจิตวิทยาเพื่อการรู้จักตน “เขียน = ค้นพบตัวเอง” ประจำปี ๒๕๕๙ โดย สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ในความร่วมมือกับ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ   *** เปิดรับสมัครเฉพาะ Workshop แบบที่ ๑ : วันที่ ๑๖ – ๑๗ มกราคม  *********   “การเขียนลักษณะนี้มิใช่การเขียนเพื่อการสร้างสรรค์ผลงานแต่เป็นการค้นหาและการเดินทางเพื่อการรู้จักตนเอง เสมือนหน้ากระดาษคือบานกระจกเงา เมื่อเราเขียนในกระบวกการนี้ คือการที่เรากำลังส่องดูตน หัวข้อ การเขียน = ค้นพบตัวเอง ถือเป็นหัวข้อการอบรมแรกของหลักสูตรเขียนเปลี่ยนชีวิตกึ่งออนไลน์ ก่อนที่จะก่อเกิดเนื้อหาการอบรมการเขียนเพื่อการบำบัดเยียวยาและการภาวนา ตามลำดับ สำหรับผม ผู้สอนและผู้เชื้อเชิญให้เราร่วมเดินทางผ่านปลายปากกาและเส้นสี การเขียนเพื่อย้อนมองตนถือเป็นประสบการณ์ช่วงแรกของการค้นคว้าการเขียนกับการพัฒนาชีวิต โดยใช้ลมหายใจและวิญญาณของตน ส่องดูตนเองหลากหลายด้านและผ่านอุบายการเขียนหลากหลาย ก่อนจะเริ่มตกผลึกจากประสบการณ์สังเกตความเป็นตัวตน ทดลองสอน สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ก่อนการเขียนเชิงกระบวนการจะเริ่มชัดเจนและทักษะการให้คำปรึกษาเชิงการสะท้อนร่วมกันจะหนักแน่น ผมประจักษ์ว่าการเดินทางเพื่อการค้นหาตนหรือเพื่อรู้จักตนเองมิใช่เส้นทางที่ตายตัวและสุดสายง่ายดาย กลไกการยึดมั่นและการปล่อยปละยังคงปิดบังตาเราอยู่หลายครั้งหลายหน… Continue reading “เขียน = ค้นพบตัวเอง ” ประจำปี ๒๕๕๙ เปิดรับสมัคร

ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ

  หายใจเข้า วันเวลาเดินทางมาพร้อมลมหายใจ กาลเวลามาสู่เราเป็นธรรมดา ลมหายใจมาสู่เราเป็นความจริงของชีวิต สิ่งต่างๆเข้ามาผูกพันใจเป็นความจริงธรรมดา เรามิอาจหนีลมหายใจ การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีชีวิต หายใจออก เรามิอาจเลี่ยงหายใจออก ลมหายใจกลับคืนสู่บ้านตามธรรมดา การพลัดพรากเป็นความจริงของชีวิต เว้นพื้นที่ให้วันเวลาใหม่เติมเต็ม เรามิอาจยื้อลมหายใจออก การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีที่จะมีชีวิต เราอาจรู้สึกว่าสิ่งใดยิ่งพยายามหลบเลี่ยงหรือหลีกหนีก็ยิ่งเจอะเจอ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หายใจเข้า ลองหนีลมหายใจออก ไม่หายใจออก อัดอั้นไว้สักครู่ เราจะยิ่งรู้สึกจะต้องหายใจออก ยิ่งหายใจออกชัดเจน อาจหอบโล่งออก อาจยิ่งหายใจถี่กว่าเดิมหากกลั้นไว้นาน หายใจออก เรายิ่งหนีการหายใจ เรายิ่งเจอะเจอการหายใจ เพราะร่างกายมิอาจขาดลมหายใจ เพราะการหายใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะการที่ชีวิตต้องหล่อเลี้ยงด้วยลมหายใจเป็นความจริงที่เรามิอาจปฏิเสธ บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เราหนีบางสิ่งมาโดยตลอดยิ่งดั่งมีแรงดึงดูดจากตัวเรา ดึงให้สิ่งเหล่านั้นที่เราไม่อยากพบเข้าใกล้ เราอาจพลอยตำหนิว่า เป็นเพราะตัวเราไม่ดี สิ่งต่างๆเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น หรือเราอาจพลอยคิดเชื่อว่า ชีวิตเราเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งไม่ดีเหล่านั้นเสมอ เมื่อเรายิ่งพบเจอสิ่งเหล่านั้นที่มิต้องการเจอะเจอ เราก็ยิ่งทุกข์ใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งลูกศรดอกแรกที่ทำให้เราทุกข์ แต่เราก็ทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำด้วยลูกศรดอกที่สองคือความคิดความเชื่อที่ตอกย้ำตัวเองในทางลบอย่างผิดๆ หายใจเข้า เราไม่ใช่คนผิดหากว่าการหายใจเข้า พาสิ่งสกปรกในอากาศ หรืออากาศอันเป็นมลภาวะเข้าสู่ร่างกาย แต่สิ่งไม่ดีเหล่านั้น มีอยู่แล้วในอากาศรอบตัวเรา บุคคลเหล่านั้นที่มีบางสิ่งรบกวนใจเรา เขาเป็นอยู่ และเป็นมาด้วยวิถีของเขาอยู่แล้ว เรามิใช่ต้นเหตุหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเหล่านั้นเข้ามา  พวกเขาเพียงมีอยู่บนโลก มีและเป็น ทั้งดีและเสีย… Continue reading ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ

“บทที่ขีดเขียน” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๗

    “บทที่ขีดเขียน” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๗  โดย น้องเล็ก     “Down an unknown road to embrace my fate
 Though that road may wonder,it will lead me to you 
And a thousand years would be worth the wait 
It may take a lifetime but somehow I’ll see it through.”*   นิยามของคำว่ารักยังคง undefined ต่อไป แต่ฉันเชื่อว่าความรักที่แท้จริงทำให้เราอยากเป็นคนดี อยากพัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับเขา หรืออย่างน้อยทำให้เขาภาคภูมิใจและไว้วางใจเรา… Continue reading “บทที่ขีดเขียน” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๗

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๖

      “ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ” ……เรายิ่งกลัวเกรงที่จะยอมรับและเรียนรู้ความจริงข้อใด เรายิ่งต้องพบเหตุการณ์เพื่อพาเราเรียนรู้และยอมรับความจริงข้อนั้น ยิ่งเราหนีจากความจริงของชีวิต เราย่อมเสี่ยงที่จะไม่เข้าใจชีวิต… “บทที่ขีดเขียน” …… ฉันเชื่อว่าความรักที่แท้จริงทำให้เราอยากเป็นคนดี อยากพัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับเขา หรืออย่างน้อยทำให้เขาภาคภูมิใจและไว้วางใจเรา ….     ~  ภาพปก จากปกหลังหนังสือ “เขียนดั่งเป็นกระจก” หนังสือใหม่ของสถาบัน อ่านฟรีได้ที่เว็บไซต์ ~     อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ๑๖ ณ ธันวาคม ๒๕๕๘ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒   อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด     อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต  ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/12/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๖.pdf     ความหลังครั้งยุวชนสยาม ตอนที่ ๓ สร้างนาม คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ คอลัมน์… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๖

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๕

“ยิ่งกลัวยิ่งสูญเสีย” ……การพบและการพรากล้วนมีคุณค่าความหมาย แสงตะวันยามตื่นจากหลับใหล แสงสีทองผ่องอำไพ ประกายจับน้ำค้าง ช่างงดงามนัก แต่แสงตะวันยามล่วงลับก็งามมิแพ้กัน… “พรหมโวหาร” ……เมื่อเราค้นใจเราจนเข้าใจ เราย่อมเห็นว่ามีสิ่งงดงามอยู่ข้างในนี้มากมาย โดยเฉพาะความรักที่แนบเนาดั่งเมล็ดภายใน หากวาจาเป็นดั่งผลที่งอกงามจากสวนหัวใจแล้ว เราย่อมเลือกได้ที่จะนำสิ่งที่ดีที่สุดมอบแก่คนอื่นๆ… “ให้รักนำทาง” …… Like dark turning into day Somehow we’ll come through….   อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ๑๕ ณ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด   ความหลังครั้งยุวชนสยาม ตอนที่ ๒ ก่อร่าง คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน ยิ่งกลัวยิ่งสูญเสีย คอลัมน์ ปัญญามีความรัก ตอน พรหมโวหาร คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก ตอน  ให้รักนำทาง คอลัมน์… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๕

“พรหมโวหาร” คอลัมน์ ปัญญามีความรัก #๔

    เล็ก ฉันรู้ว่าเราต่างยากปรับเข้าหาและเข้าใจกันในหลายจังหวะของการพบเจอและการสื่อสารที่ผ่านมา ฉันขอโทษเธอนะหากวาจาใดได้เคยพาใจเธอหม่นมัวหรือเจ็บปวด เพราะความหม่นมัวที่ฉันมีหรือความเจ็บปวดที่หวังเธอดูแล ฉันดีใจที่เธอให้อภัยและวางใจให้ถ้อยคำของฉันยังแนบเนาอยู่ใกล้ๆ ดวงใจ คนดี หลายครั้งเชียวนะที่ถ้อยคำของบุคคลที่เรารักหรือผูกพันกลายเป็นแส้ที่เฆี่ยนตี การทำร้ายกันเกิดขึ้นตั้งแต่ในโลกใบเล็กคือครอบครัวจนโลกใบใหญ่ในสังคม หัวใจเธอเจ็บปวดเพราะสิ่งใดนะ ฉันฟังน้ำตาของเธอ ดวงตาเธอคล้ำหมอง เส้นผมเธอหลุดร่วงลง ความมืดดำของหัวใจที่รักเธอและเธอรัก กลืนกินร่างกายและจิตใจเธอเนิ่นนาน ไยคนที่รักเธอจึงมิเห็นว่าความมืดดำของตนได้ทำร้ายกันมามากเพียงใด เขาหวังให้เธอเปลี่ยนแปลง แต่มิได้ย้อนมองสิ่งที่ตนต้องแปรเปลี่ยน ความรักควรจักกร่อนอัตตา ให้เหมือนน้ำอันอ่อนโยนกัดเซาะผาหินมิใช่หรือ เมื่อเรารักใครอย่างแท้จริง เราอาจยอมแม้แต่ลดความเป็นตนเอง เพื่อเปิดรับความเป็นคู่ หรือหัวใจอีกดวงอยู่ในรั้วรอบขอบใจ เล็ก เราจะเอ่ยคำหรือสื่อสารอย่างไร เราควรกล่าวความจริง หรือเก็บงำอำพลาง เราลองเรียนรู้จากท่านผู้เป็นเช่นนั้นนะ ท่านกล่าวคำสัตย์เสมอ แต่หัตถ์อันเมตตาก็เลือกเฟ้นใบไม้หรือดอกไม้มอบให้แก่เราเพียงบางส่วน สิ่งใดแล้วพูดแล้วถูกใจแต่ไม่จริง ท่านก็เลือกไม่เอ่ยคำวาจา สิ่งใดแล้วเป็นจริงแต่เอ่ยไปเกิดโทษมิเห็นค่าในครานั้น ท่านก็เลือกเงียบคำมิกล่าวถึง สิ่งใดแล้วเป็นเท็จลวงกล่าวแล้วก็ไร้คุณ ท่านก็มิเลือกหยิบยื่นแก่การสนทนา ต้องเป็นความจริงและมีคุณค่า มีคุณประโยชน์เหมาะแก่กาละ เทศะ บุคคล และสิ่งต่างๆ แล้วเท่านั้น ท่านพระสัมมาสัมพุทธจึงตรัสกล่าวแก่เราทั้งหลาย ฉันเคยเตือนเธอเล็กเอย บางสิ่งเราเพียงรู้จริงต่อกัน ทำดีต่อกัน แต่อาจมิเหมาะสมที่จะกล่าวถึงในตอนนี้ หากกล่าวเฉลยแล้วก็จะมีภัยจนถึงวันหน้า ฉันให้อภัยเธอที่หลงลืมนะ และเล็กเอย สิ่งใดที่เธอควรกล่าว เป็นความจริง… Continue reading “พรหมโวหาร” คอลัมน์ ปัญญามีความรัก #๔

“ให้รักนำทาง” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๖

    “ให้รักนำทาง” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๕  โดย น้องเล็ก     “Like dark turning into day Somehow we’ll come through Now that I’ve found you Love will find a way.”*   ฉันเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามนุษย์แต่ละคนแตกต่างกัน แตกต่างทั้งเชื้อชาติ ศาสนา ทัศนคติและความเชื่อ ซึ่งมีผลมาจากการกระทำที่ต่างกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่เหมือนกัน แต่ฉันก็เชื่ออีกว่ามนุษย์เรานี่ช่างเหมือนกันเสียนี่กระไร ทั้งความรู้ไม่จริง ทั้งมีความฝัน ความอยาก ความชอบ และความรัก… ความรักนี่แหละที่เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเชื่อมั่นในความรักนักหนา ทั้งๆ ที่มันเป็นนามธรรม พิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อมาโดยตลอดว่า ความรักเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่งจริงๆ ‘แตกต่างเหมือนกัน’ ท่ามกลางโลกที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ บัณฑิตแลนักปราชญ์ผู้แสวงหาความจริงอาจรู้สึกเหว่ว้าได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นบัณฑิตผู้มีไหวพริบสติปัญญาเฉียบ ความเบื่อหน่ายในชีวิตมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นภายในใจของบัณฑิตผู้นั้นอย่างแน่นอน… Continue reading “ให้รักนำทาง” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๖

ยิ่งกลัวยิ่งสูญเสีย

  หายใจเข้า เราชวนลมหายใจเข้ามาสู่บ้านของเรา บ้านในปัจจุบันขณะ มิกังวลว่า เราจะต้องสูญเสียหรือพรากจากกันในอนาคตอันใกล้ หายใจออก ลมหายใจจากเรากลับคืนสู่ที่มาของผืนฟ้า เรามิกลัวหรือกังวลใจ เพราะลมหายใจกำลังกลับคืนสู่บ้านอีกคราครั้ง หายใจเข้า การสูญเสียนั้นเจ็บปวด มิว่าบุคคลอันเป็นที่รัก การงานหรือชื่อเสียง ของรักทรัพย์มีค่า สิ่งที่ห่วงและหวงแหน การสูญเสียอาจพาเราหม่นเศร้า หัวใจราวแหว่งวิ่นขาดหาย รอยร้าวจากการพลัดพรากอันยากจะทดแทน เมื่อใดที่เราสูญเสียบางสิ่ง หรือรู้สึกกำลังสูญเสีย หายใจออก กลับมาอยู่เป็นเพื่อนหัวใจ อย่าเพิ่งได้ด่วนจากตามด้วยความอาลัยหรือไขว่คว้าสิ่งชดเชย อยู่เป็นเพื่อนรับฟังตัวเอง เมื่อเรามิปรารถนาการถูกทอดทิ้ง  ขอเรากลับมาเคียงข้างใจยามเจ็บปวด ชวนเขาหรือเธอข้างในนี้ เฝ้ามองดูการสูญเสีย ดั่งดูลมหายใจออก ดั่งชื่นชมพระอาทิตย์ยามลับฟ้าหรือขอบทะเล มองดูการจากไป รับรู้ความเศร้าอาลัย หากดวงตาใจจะเห็นความมืดมนก็โปรดมองความมืดมนนั้น เพราะว่าเมื่อแสงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว ความมืดค่ำย่อมครอบคลุมกาลเวลา นี่มิอาจเลี่ยงพ้น เราอาจจุดไฟให้แสง เช่นเราให้กำลังใจหรือข้อคิดที่ดีกับตัว หากทำเช่นนั้นแล้วเรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ขอจงจุดไฟเถิด และหากความมืดนั้นยังมิหายไป ให้ความมืดมนอยู่ตรงนั้น เขามาตามธรรมชาติ หายใจเข้า ธรรมชาตินั้นย่อมมีลักษณะร่วมกัน เหมือนกันอยู่ นั่นคือความไม่แน่นอน มีความทุกข์ และไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มิว่าสิ่งใด คนที่เรารัก ใครที่ผูกพัน สิ่งล้ำค่า และแม้แต่ตัวเราก็มิพ้นสามลักษณะนี้… Continue reading ยิ่งกลัวยิ่งสูญเสีย

“ตามขุด” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๔

คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๔ ตอน “ตามขุด” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์   เมื่อมาถามตัวเองตอนนี่ว่าอะไรทำให้พวกเราในวัยนั้น เอาจริงเอาจังกับการตั้งกลุ่มยุวชนสยามโดยมีเพียงอุดมคติกว้างๆว่าจะทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ยังไม่มีอุดมการณ์อะไรให้ยึดมั่นจริงจังนัก และหลายคนในหมู่พวกเราก็เป็นพวกเรียนดี เอาดีตามที่สังคมสมัยนั้นยกย่องได้สบายๆตามวิถีของตนๆ ผมเข้าใจว่ามีหลายเหตุปัจจัยยากที่จะหาข้อสรุปทั่วไปได้ แต่เท่าที่พอเห็นและสังเกตได้และมองย้อนหลังไปสี่ทศวรรษ ประการแรกน่าจะเกิดจากความแปลกแยกอันเนื่องมาจากการแก่งแย่งแข่งขันในหมู่นักเรียนเรียนดีประการหนึ่ง ประการที่สองน่าจะเป็นความมันอันเกิดจากการได้ทำกิจกรรมนอกหลักสูตร ประการสุดท้ายน่าจะเป็นเพราะเราเริ่มได้รับกระเส็นกระสายของวัฒนธรรมคนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าในมหาวิทยาลัยกลุ่มที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะจากประวัติของโกมล คีมทอง สี่ปีกว่าในสวนกุหลาบก่อนที่ชีฯจะมาชวนผมตั้งกลุ่มนั้น ผมรู้สึกได้ว่าการแข่งขันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อนจริงๆน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะนับแต่เมื่อขึ้นชั้นม.ศ.๒ และผมเลื่อนจากห้องราชินีมาอยู่ห้องราชา สมัยนั้นสอบไล่ชั้นม.ศ.๕เป็นข้อสอบส่วนกลาง และมีการเทียบคะแนนทั่วประเทศ  โรงเรียนผมและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะผลัดกันได้ตำแหน่งที่หนึ่งประเทศไทยกันเป็นประจำ นอกจากนั้นนักเรียนที่ได้ตำแหน่ง ๕๐ คนแรก จะได้รับการจารึกชื่อไว้บนกระดานเกียรติยศของโรงเรียน เรียกว่าติดบอร์ด เมื่อมาอยู่ห้องราชา ที่มีอยู่ประมาณ ๓๐กว่าคน ตำแหน่งที่หนึ่งประเทศไทยก็ต้องถือว่าเป็นไปได้สำหรับทุกคน จำได้ว่าตอนอยู่ชั้นม.ศ.๓ ยังสนุก ตอนพอขึ้นถึงชั้นม.ศ. ๔ ผมก็ล้าเต็มที เพื่อนสนิทเหลือเพียงคนสองคน ทุกคนเอาแต่เรียน เวลาสอบบางคนถึงกับมือไม้สั่นเพราะความวิตกกังวล แม้ผมจะออกจากโรงเรียนมานาน แต่ยังฝันร้ายเรื่องสอบเสมอๆเป็นสิบปี  แต่ตอนนั้นความล้า… Continue reading “ตามขุด” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๔