เมื่อประชาชนลืมศรัทธาของเกิดมาเป็นมนุษย์และศรัทธาของการฝึกตนเอง

  …หากเราหวังพึ่งพารัฐจอมพลังมากเกินไป เราอาจจะได้รัฐสังคมนิยมเผด็จการและรัฐมาเฟีย …หากเราหวังพึ่งพาบุคคลจอมพลังมากเกินไป เราอาจจะได้ศาลเตี้ยและลัทธิบูชาฮีโร่ …หากเราหวังพึ่งพาสถาบันทางจิตวิญญาณจอมพลังมากเกินไป เราอาจจะได้ยุคมืดแบบยุโรปหลายศตวรรษก่อน และสติปัญญาของประชาชนจะถูกขังอยู่ในกรงของศรัทธา . สิ่งที่เหมือนกันในสามอย่างนี้ คือการที่ประชาชนหลงลืมว่า ตนเป็นที่พึ่งแแห่งตน และเราทุกคนต่างมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม ความเป็นไปของการบริหารบ้านเมือง นักการเมือง บุคคลหรือสถาบันที่มีอำนาจในสังคม ต่างเป็นกระจกเงาสะท้อนจิตใต้สำนึกโดยรวมของประชาชนในสังคมนั้น …เพราะความโลภ โกรธ และหลงที่เรามี ต่างช่วยส่งเสริมให้นักการเมืองที่โลภ โกรธ และหลงแบบเดียวกันนั้นเข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และพวกเขาที่กุมอำนาจในสภาก็จะดำเนินงานไปตามความโลภ โกรธ และหลงแบบที่เราส่งเสริม นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจริงๆ ก็อาจไม่ถูกผลักดันเท่าที่ควร ถ้าขัดกับความเคยชินและความติดสบายของประชาชน ที่มิได้ฝึกขัดใจตนเองจากกิเลส เพราะเราก็จะไม่ได้ช่วยกันผลักดันนโยบายเหล่านั้น มากเท่ากับนโยบายแจกเงินหรือความสะดวกสบายชั่วคราว …ช่องว่างในจิตใจ การขาดความเคารพคุณค่าในตนเอง และความรู้สึกไร้อำนาจของประชาชน ต่างเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดบุคคลจอมพลังและศาลเตี้ย ซึ่งแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นกลไกตามธรรมชาติทื่เกิดขึ้นเพื่อถ่วงดุลความอยุติธรรมในสังคม แต่เมื่อประชาชนยกเอาคุณค่าของตนเองและความรู้สึกไร้อำนาจ ไปคาดหวังบุคคลสำคัญของคนในสังคมมากเกินไปแล้ว บุคคลสำคัญเหล่านั้นก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง กำหนดความผิดถูกหมุนรอบอัตตาตนและเสียงของแฟนคลับ กอบโกยผลประโยชน์จากชื่อเสียง ทำให้เงินและโอกาสไหลไปหาบุคคลบางกลุ่มมากเกินไป จนบั่นทอนโอกาสของประชาชน และเมื่อนั้นเราก็อาจบั่นทอนให้รัฐและกระบวนการยุติธรรมอ่อนแอลง เพราะรัฐและกระบวนการยุติธรรมก็จะหวังพึ่งพาบุคคลเหล่านี้ มากกว่าส่งเสริมการปฏิรูปตนเอง …การขาดความมั่นคงทางจิตใจ และความไม่สามารถยอมรับหรือจัดการกับความทุกข์ของชีวิตในจิตใจประชาชนนั้น ต่างเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้สถาบันทางจิตวิญญาณเติบโตขึ้นเป็นจอมพลัง เมื่อนั้นความศรัทธาก็จะไหลทะลักเข้าไปในสถาบันเหล่านั้น และปล่อยให้พวกเขาสร้างอิทธิพลทางความคิดและค่านิยมในสังคม แต่ประชาชนจะหลงลืมศรัทธาที่สำคัญบางอย่างไป นั่นคึอศรัทธาของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน… Continue reading เมื่อประชาชนลืมศรัทธาของเกิดมาเป็นมนุษย์และศรัทธาของการฝึกตนเอง

สิ่งที่ได้รับจาก “ โปรแกรมจิตตัวเอง” รุ่นที่ห้า

  “เหมือนการได้มาตั้งศูนย์ถ่วงล้อ​ ปลดล็อคศักยภาพ​ และพาตัวเองเข้าสู่สภาวะสมดุล” “รู้สึกโชคดีและมีความสุขที่ได้เรียนหลักสูตรนี้ ทำให้ได้เรียนรู้วิธีการต่างๆที่ช่วยพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น และเข้าใจตนเองมากขึ้น” “สิ่งที่ครูสอนทำให้การพัฒนาตัวเองเป็นไปได้จากที่เคยเชื่อว่าไม่มีทางทำได้ และอยากขอบคุณเพื่อนๆที่แชร์และแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้กันขอให้ความรู้สึกดีๆเหล่าคงอยู่กับทุกคนตลอดไป” “สิ่งที่ได้รับคือความสงบ ความเข้าใจในตัวเองและเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน เมื่อมีอารมณ์เครียดหรือกังวล ก็สามารถจูงใจให้สู่สมาธิและปรับตัวเองได้ และชอบมากในส่วนของการตั้งคำโปรแกรมจิตที่สร้างจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง เพราะทุกครั้งที่ทำรู้สึกถึงพลังงานของการเปลี่ยนแปลงตามคำที่เราโปรแกรมจิตไป รู้สึกภูมิใจในตัวเองในส่วนนี้มากค่ะ” “ดีใจที่ได้พาตัวเองมาเรียนจนจบได้รู้จักเพื่อนๆ รวมถึงได้แบ่งปันความรู้และเพิ่มมุมมองความเข้าใจของเนื้อหาระหว่างเรียน และขอบคุณอาจารย์โอเล่ที่ทุ่มเทในการสอนและใส่ใจในเนื้อหาของทุกสไลด์ ทำให้นู๋ได้ค้นพบพลังของself-hypnosis และได้มอบเครื่องมือที่ใช้ดูแลใจได้ตลอดไปค่ะ เสียงและรอยยิ้มของอาจารย์จะก้องในหูเสมอที่นู๋ได้หยิบเอาเครื่องมือที่อาจารย์มาใช้งานค่ะ” 🦋🦋🦋 🌼ถ้อยคำจากผู้เรียนที่ผ่านการอบรม “การโปรแกรมจิตตัวเอง” รุ่นที่ 5 โดยครูโอเล่ และทีมงาน สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ปีที่ 17 เมื่อคืนวันที่ 10 กันยายน ถึง 16 ตุลาคม 2568 รวม 12 คืนพุธ-พฤหัสบดี รวมผู้จบการอบรมทั้งหมด 31 ท่าน การอบรมฝึกสมาธิเพื่อเป็นนายเหนือความคิดและพัฒนาจิตใจผ่านศาสตร์ Self-Hypnosis ผสมผสานกับหลักคิดพุทธศาสนา 🌱🌱🌱 “ได้กลับมาอยู่กับ กาย และใจ ของตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่หลงลืม และละเลย… Continue reading สิ่งที่ได้รับจาก “ โปรแกรมจิตตัวเอง” รุ่นที่ห้า

กิจกรรมกับน้องๆ สถานพินิจฯปทุมธานี เดือนที่ 6/2568

  เด็กๆ ไม่ว่าเป็นใครหรืออยู่ที่ใดต่างต้องการพลังเสริมแรงในด้านบวกและตัวอย่างที่ดีจากผู้ใหญ่ในการเคารพคุณค่าของชีวิต บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่พิเศษ แค่เดินเข้าไปหาพวกเขาในแบบของผู้ใหญ่ที่เราหวังให้พวกเขาโตมาเป็นคนเช่นนั้น กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาในสถานพินิจฯ ปทุมธานี ได้ดำเนินมาถึงเดือนที่ 6 แล้ว เรามาจัดกิจกรรมผ่านศิลปะ การเขียนบำบัด และกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้น้องๆ ได้ทบทวนตนเองและชีวิตผ่านปัญญาทั้งสามฐาน และมอบของขวัญเป็นขนมและเครื่องดื่มให้แก่น้องๆ เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ในครั้งที่หกนี้เป็นกิจกรรมทบทวนจังหวะชีวิต ฝึกการฟัง และการทำงานร่วมกัน ผ่านดนตรีตะเกียบและการเคลื่อนไหวร่างกาย ก่อนส่งท้ายด้วยการเรื่องเล่าให้น้องๆ ได้เห็นภาพจังหวะหยุดนิ่งของชีวิตเหมือนการเข้าดักแด้ของหนอนก่อนจะเป็นผีเสื้อ ซึ่งเปรียบเหมือนการต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานพินิจแห่งนี้ กิจกรรมในโครงการนี้มีการเปลี่ยนผ่านจากโครงการด้านการเขียนบำบัดในสถานพินิจฯ เปลี่ยนเป็นการสร้างสุขภาวะทางปัญญาอย่างไม่จำกัดเครื่องมือ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาการขาดการศึกษาพื้นฐานและการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในกลุ่มน้องๆ ซึ่งมีจำนวนหลายคน และเป็นประเด็นที่ทางเราจะศึกษาดูว่ามีแนวทางใดที่สามารถส่งเสริมการแก้ไขปัญหานี้ในเยาวชนที่สถานพินิจได้  

“ฟังครูในเรา-เวทนา”

  “ฟังครูในเรา-เวทนา”   “ฟังครูในเรา-เวทนา” ไม่มีเหตุการณ์ที่ดีหรือไม่ดี มีแต่เวทนาหรือความรู้สึกจากการรับรู้ที่ชอบและไม่ชอบเท่านั้น เมื่อเจอสิ่งใดแล้วเกิดความรู้สึกชอบใจในภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือพลังงานที่รับรู้ จิตใจเราก็มักตีความว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่ดี เมื่อเจอในสิ่งตรงข้ามกันจิตเราก็มักตีความว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี หรือเรื่องเฉยๆ หากรับรู้แล้วไม่ได้เกิดความรู้สึกที่โดดเด่นขึ้นมา ทั้งที่จริงแล้วเหตุการณ์ที่เจอแล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ เหตุการณ์นั้นอาจเป็นครูและของขวัญที่จำเป็นต่อชีวิต สิ่งที่รับรู้แล้วเฉยๆ อาจช่วยให้ใจเป็นกลาง มั่นคง และสงบได้มากทั้งสองแบบก่อนหน้า แต่เมื่อจิตใจไม่ได้ให้ค่าก็อาจไม่สนใจในครูหรือของขวัญที่มากับความรู้สึกเฉยๆ เหล่านี้ มีครูอยู่ในเวทนาหรือความรู้สึกทุกรูปแบบ เหมือนที่มีครูอยู่ในทั้งเรื่องดีและร้ายของชีวิต เราจะเป็นนักเรียนชีวิตที่ดีมากเพียงใด อยู่ที่เราฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งในชีวิตประจำวันได้มากเพียงใด การฟังอย่างลึกซึ้งไม่ใช่เพียงการฟังสิ่งๆ หนึ่งหรือคนอื่นอย่างตั้งใจ แต่การฟังอย่างลึกซึ้งเริ่มที่การมีสติรับรู้ทุกเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตัดสิน ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็รับรู้เพื่อปล่อยวาง… ปวดขา ปวดหลัง ปวดไหล่ หรือรู้สึกดีตรงจุดใด รับรู้เพื่อปล่อยวาง… ได้รับรู้แล้วรู้สึกดี ไม่รู้สึกดี ก็ไม่ได้ให้ค่าในเวทนาใดเป็นพิเศษ ดำรงในปัจจุบัน เหมือนต้นไม้ที่เฝ้าสดับและรับรู้ในทุกๆ สิ่งภายนอกและภายในตน เป็นผู้รับฟังที่ดีในเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกายในจิตอย่าง “ฟังหูไว้หู” ไม่ผลักไสและไม่ยึดติดกับความรู้สึกใดมากเกินไป ไม่ตัดสินว่าความรู้สึกใดดีหรือไม่ดี มีแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมา เพื่อสื่อสารบางอย่าง และลับหายไปเท่านั้น การฝึกเจริญสติที่ความรู้สึกในกายเช่นนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราต้องการพ้นไปจากเรื่องร้ายในชีวิต… Continue reading “ฟังครูในเรา-เวทนา”

จบการอบรม “ฟังครูในเรา” ประจำปี 2568

  ขอบคุณผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ฟังครูในเรา” ในชุดหลักสูตร “ห้องเรียน วิถีครู” รุ่นที่ 7 จำนวน 32 ท่านที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การเป็นครูให้แก่ตนเอง การฟังเสียงภายใน และการเห็นครูในทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคืนวันที่ 27 – 29 กันยายน 2568 “ทำให้เราเข้าใจตัวเองในฐานะ “ครู” ชัดเจนขึ้น ว่าเราเป็นครูแบบไหน โดยเฉพาะในวันที่ 2 ที่ได้เปิดภาพและสะท้อนตนเอง ทำให้เห็นชัดเจนมาก ๆ ได้มุมมองใหม่ ๆ ที่ทำให้เราไม่มองตัวเองเพียงด้านเดียว… ทำให้เราเปิดใจรับฟังผู้อื่นมากขึ้นค่ะ❤️” “รู้สึก สนุก ขอบคุณ ประทับใจ กับเนื้อหากิจกรรมในการเรียนค่ะ ชื่นชมในการออกแบบของครูที่สุขุม ลึกซึ้ง เรียนแล้วก็เบาใจขึ้น ข้อคิด ในคลาสนี้ เป็นการเรียนรุ้จักเพื่อละวางตัวตน ยิ่งรุ้จักทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเรามากขึ้นก็ให้รู้จักรับรู้และปล่อยวาง” “ดีใจที่ได้เรียนค่ะ ครูมีกระบวนการที่จะค่อยๆ สอนและให้เรียนรู้จากการลงมือทำ ระหว่างเรียนจะรู้สึกผ่อนคลายลง ทำให้เห็นความรู้สึกชัดขึ้น ยิ่งมีการได้ฟังและแลกเปลี่ยนกับผู้ร่วมเรียนท่านอื่นยิ่งทำให้ได้มุมมองที่หลากหลาย รู้สึกว่ามีแง่คิดที่มาเติมมุมมองที่กำลังมองหาในช่วงนี้พอดี” “ได้กลับมาสังเกตความรู้สึกในร่างกายชัดๆ ทำให้รู้สึกเห็นใจร่างกายตัวเอง รับรู้ถึงความเหนื่อยล้า ความเมื่อย… Continue reading จบการอบรม “ฟังครูในเรา” ประจำปี 2568

กิจกรรมประกวดงานเขียนรางวัล ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 15

  “เขียนบันทึก รับทุนการศึกษา” เปิดรับสมัครเยาวชนอายุ 13 ถึง 18 ปี ร่วมกิจกรรมประกวดงานเขียนรางวัล ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 15 ชิงทุนการศึกษาและรางวัลรวม 30,000 บาท ✨ ปิดรับใบสมัครวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ประกาศรายชื่อเข้ารอบแรก ภายในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2569 ✍️ หลังจากนั้นแล้วทีมงานจะส่งสมุดบันทึกเพื่อให้น้องๆ ที่เข้ารอบ ได้เขียนตามขั้นตอนภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อส่งมารับการพิจารณามอบทุนการศึกษาในรอบสุดท้าย   อ่านกติกาได้ที่เว็บไซต์ www.dhammaliterary.org/youthwritingcontest/ ดาวโหลดใบสมัครได้ที่ https://drive.google.com/file/d/13zDbHSpKRNJeXdbkgWr-y53ZyMxfMQg6/view  

ยึดมั่นตัวบุคคล ปลายทางคือความผิดหวัง

  “ยึดมั่นตัวบุคคล ปลายทางคือความผิดหวัง”   ผมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้สัมภาษณ์นั้นก็คือศิษย์เก่าที่มีใจเคารพศรัทธาในสิ่งที่ผมสอนและงานโครงการ ผมกล่าวประมาณว่า ความมั่นคงจากภายในที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการยึดมั่นในบุคคลอื่นหรือสิ่งนอกตัว และปลายทางของการยึดมั่นในตัวบุคคลมีสิ่งเดียว คือความผิดหวัง แม้บุคคลนั้นจะใครก็ตาม เป็นผมหรือครูโอเล่ก็ไม่มีข้อยกเว้น… การไม่ยึดมั่นในตัวบุคคล คือคำสอนที่เด็ดขาดในพุทธศาสนา และเป็นสิ่งที่ครูอาจารย์ที่สอนผมมาได้มอบสิ่งเดียวกันนี้มาให้ ด้วยการไม่ได้ให้ประกาศคุณงามความดีและหอบหิ้วภาพสักการะต่างๆ รวมถึงสามารถวิจารณ์ตัวท่านได้ พุทธศาสนาไม่เพียงสอนให้เราไม่ยึดมั่นในตัวบุคคลของครูอาจารย์ แต่ยังรวมถึงคนรัก นักเรียน มิตร ศัตรู ลูก และแม้แต่ตัวเราเองด้วย การยึดมั่นในตัวบุคคลทำให้เรานำความโลภ-โกรธ-หลง ในจิตใจตนเอง ไปยัดเยียดให้กับคนอื่น ในนามความคาดหวังและภาพลักษณ์ที่จิตเราสร้างขึ้นมา เราผิดหวังอะไรในตัวเอง และสร้างเงื่อนไขอะไรผูกมัดตนไว้ เราก็จะลงสิ่งเดียวกันนี้ในตัวบุคคลอื่นที่เรายึดมั่นหรือศรัทธา เมื่อนั้นแล้ว เราจะแอบมีเงื่อนไขประมาณว่า “เพราะเขาเป็น… เขาจึงต้อง…ต่อฉัน” “เพราะฉัน… เขาจึงควร…” “ฉันไม่สามารถ… หากเขาไม่…” หรือ “เขาจะต้อง… เท่านั้น ไม่สามารถ…” สิ่งนี้คือความหลง หรือโมหะแบบหนึ่ง เพราะเราหลงลืมไปในขณะนั้นว่า บุคคลดังกล่าวไม่ว่าเขาจะเป็นครูอาจารย์ คนรัก นักเรียน มิตร ศัตรู ลูก หรือใครก็ตาม เขาก็เพียงคนๆ หนึ่งที่ยังไม่นิพพาน-ไม่หลุดพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง… Continue reading ยึดมั่นตัวบุคคล ปลายทางคือความผิดหวัง

แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้

  พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า… “สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ?” . “เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความจาก ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน? สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้วมีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้” *** . ความดีที่เรารักษาไว้ หลักการอันคร่ำเคร่ง คุณสมบัติน้อยใหญ่ สมาธิอันเป็นเลิศ ความเก่ง จนถึงปัญญาของตัวเรา อาจเป็นคุณค่าที่ทำให้เราพอใจและรักตัวเองอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้มากกว่าทรัพย์นอกตัวก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดเราก็นำเอาไปด้วยไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องตายลง หรือแม้วันเวลาหนึ่งเมื่อร่างกายทรุดโทรมลง สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมเลือนหายไป . เมื่อเรายึดเอาคุณค่าของตนเองไว้ที่สิ่งนอกตัวและในความเป็นตัวตนอันไม่ยั่งยืน เมื่อนั้นก็ยังมีความทุกข์จากการพลัดพรากและเสื่อมถอยของสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่วันหนึ่งก็วันใด แม้เรายังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็ยังมีทุกข์จากการต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น ต้องหวนแหนรักษาไว้ ต้องคอยปกป้องไม่ให้เสื่อมถอย ไม่ว่าทรัพย์ภายนอกก็ดี หรือคุณสมบัติในตัวเราก็ดี เมื่อนั้นก็ยังเป็นทุกข์อยู่ . ดังนั้นแล้วการพึ่งพาตนเองและธรรม ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นั้นคืออะไร ในเมื่อคุณสมบัติในตัวเราและสิ่งที่เราทำได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงยึดไว้เป็นที่ตั้งสูงสุด พระองค์ทรงตรัสต่อ ดังนี้ . “ภิกษุมีตนเป็นเกาะ… Continue reading แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้

“ฟังครูในเรา” ประจำปี 2568

  ฟังเสียงภายในและครูที่คอยอยู่เคียงข้างเรา เพื่อค้นหาปัญญาแห่งชีวิต ในกิจกรรมหัวข้อ   ” ฟั ง ค รู ใ น เ ร า “   มาสำรวจครูที่ซ่อนในตนเองและทุกสิ่งรอบตัวด้วยกัน กับกิจกรรม “ห้องเรียน วิถีครู” รุ่นที่ 7 – บ่มเพาะครูภายในตน เรียนทักษะสำคัญเพื่อเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองและผู้อื่น (เข้าเรียนได้ทุกอาชีพ) ⏰คืนวันที่ 27 – 29 กันยายน 2568 (เสาร์ถึงจันทร์) รวมสามคืน เวลา 19.30 น. – 21.30 น. ออนไลน์ผ่าน Zoom ลงทะเบียนล่วงหน้าทาง Inbox เพจเฟสบุ๊ค “สถาบันธรรมวรรณศิลป์” หรือไลน์โครงการ https://lin.ee/k1LOh5d 💡ในกิจกรรมนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้ฝึกฝนการฟังเสียงภายใน เพื่อค้นหาปัญญาในกายและจิตของตัวเอง ใคร่ครวญทางออกของชีวิต และวิธีในการช่วยให้ผู้อื่นได้ฟังเสียงภายในตน โดยใช้การทำสมาธิโปรแกรมจิต… Continue reading “ฟังครูในเรา” ประจำปี 2568

สรุปส่งท้าย เขียนเปลี่ยนชีวิต รุ่นที่ 57

  การอบรม 24 คืนของหลักสูตร “เขียนเปลี่ยนชีวิต” รุ่นที่ 57 ได้สิ้นสุดแล้ว ผ่านสี่เนื้อหาในสี่เดือน นับจาก เขียนเยียวยา สู่ เขียนข้ามขอบ ในเดือน พฤษภาคม ถึง สิงหาคม 2568 ขอแสดงความยินดีกับทั้ง 41 ท่านที่ได้ผ่านการอบรมในรุ่นนี้ ในการเรียนรู้การเขียนเพื่อพัฒนาจิตใจ การคิด คลี่คลายความรู้สึกภายใน และการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตนเอง ผ่านการเขียนบำบัดและการเขียน Self-Reflection ในหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต สอนที่เดียวที่โครงการนี้เท่านั้น   แชรความรู้สึกได้รับจากการเข้าร่วมตลอดหลักสูตร 🫶 🌻เป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้รู้จักวิธีการ เครื่องมือและสามารถหยิบสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ได้ตลอดค่ะ 🌻รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้จดขีดเขียนเพื่อเข้าใจในตนเอง ตลอดการเรียนรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เราได้เติบโตและเข้าไปในโลกภายใน 🌻ได้ฝึกเขียนในวิธีการต่างๆ ซึ่งทำให้ได้รับประโยชน์จากการได้ทบทวนความคิดออกมาจากภายในผ่านออกมาเป็นตัวหนังสือ ชอบ และ สนุกมากค่ะ 🌻การได้มาเรียนในคอร์ส “เขียนเปลี่ยนชีวิต” เป็นประสบการณ์ที่ดีมากค่ะ รู้สึกดี ดีใจ สนุก และมีความสุขในทุกครั้งที่ได้เข้าห้องเรียน รู้สึกขอบคุณครูมาก ๆ ที่เปิดพื้นที่ให้เรียนรู้ผ่านการเขียนอย่างอ่อนโยนและลึกซึ้ง 🌻เป็นการเข้าเรียนคอร์สออนไลน์ครั้งแรกในชีวิตที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้จนจบคอร์ส จากวันที่รู้สึกว่าเราไม่รู้จักตัวเองเลย… Continue reading สรุปส่งท้าย เขียนเปลี่ยนชีวิต รุ่นที่ 57