หายใจเข้า อ่านลมหายใจทุกขณะดังอ่านทุกวรรควลีของหนังสือสำคัญ หายใจออก ร่างกายยามหายใจ กำลังบอกใบ้อะไรเกี่ยวกับตัวเรา อ่านลมหายใจเรา หายใจตื้นเขิน ชีวิตเคร่งเครียดบีบคั้นเพราะสิ่งใด หายใจยาวจนหมดแรงใจ เก็บกลั้นสิ่งใดเหนื่อยอก หายใจเข้าแล้วอึดอัดหรือบีบเกร็ง อะไรหนอปิดกั้นชีวิตชีวา ทุกบรรทัดของหนังสือ บอกใบ้ความหมายมากมายกว่าที่อักษรปรากฏ เรื่องราวแห่งเลือดเนื้อดำรงซ่อนอยู่ ผู้รู้จักอ่านนัยยะระหว่างบรรทัด หรือระหว่างอักขระที่จารึก ย่อมหยั่งลึกความหมายของชีวิตมากกว่าภาพลักษณ์ที่ปรากฏเห็นชัดเจน หายใจเข้า ชีวิตบอกใบ้สิ่งสำคัญแก่เราเสมอ ผ่านเรื่องราวที่พบเจอ ผ่านเหตุการณ์และลางสัญลักษณ์ต่างๆ ระหว่างก้าวเดินของชีวิต เมื่อเรารู้อ่าน รู้สังเกต เราย่อมเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าไยจึงส่งสิ่งนั้นมาสู่ชีวิตของฉัน ธรรมชาติต้องการบอกอะไรจากเหตุการณ์นี้ หายใจออก เมื่อรู้อ่าน รู้สังเกต เราย่อมน้อมนำความหมายหรือข้อมูลนั้นมาใช้แก่ชีวิตเราได้ เพื่อป้องกัน เพื่อแก้ไข หรือเพื่อหาทางออก ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวเพราะเราเงียบคำหรือหลบเลี่ยงการสื่อสาร อาจบอกเราว่าจำเป็นแล้วที่ต้องพูดสิ่งที่ควรพูด หรือต้องเผชิญกับถ้อยคำความจริงที่อาจไม่หวานหู เราอาจเลือกสื่อสารเพื่อเยียวยาความไม่เข้าใจได้ทันการณ์ แทนที่จะปล่อยให้เหตุการณ์ซ้ำร้ายลง หรือเกิดปัญหาเดิมกับบุคคลใหม่ ความเป็นตัวเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่กว้างใหญ่ เป็นดั่งตัวอักษรหนึ่งบนหน้ากระดาษ เป็นดั่งหนังสือเล่มหนึ่งท่ามกลางหอสมุด เรานั้นคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การกระทำของเราส่งผลต่อสิ่งต่างๆ ที่เชื่อมโยงผูกพันกับเรา ดั่งถ้อยคำหนึ่งทำให้ความหมายของทั้งบรรทัดแปรเปลี่ยน เมื่อเราเป็นเช่นถ้อยคำหนึ่ง นักเขียนย่อมต้องดูแลเรา เมื่อเรามีความหมายผิดเพี้ยน สื่อความไม่ชัดเจน หรือหลงประเด็น… Continue reading ชีวิตบอกใบ้
Author: admin
อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๔
“กล้ารัก” ……ความรักก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของอภัยทานนะน้อย เธอเคยได้ยินไหมว่า “ความรักที่แท้จริงคือสิ่งที่ละลายหัวใจน้ำแข็ง กำแพงแห่งความกลัว” เมื่อน้อยรักสิ่งใด น้อยจะไม่มีความระแวงสิ่งนั้นเลย… “มองเปลี่ยนมุม” ……เพราะที่แท้จริงแล้วทุกสิ่งไม่ได้มีด้านเดียวหรอก คนธรรมดาอาจจะอยากเห็นแค่ด้านเดียวเพราะเขาพอใจอยู่แค่นั้น แต่หากเขาปรารถนาที่จะเป็นบัณฑิต เขาจะต้องใช้น้ำล้างกาวนั่นเสียก่อน… “ภาพที่พาฉันกลับบ้าน” ……ฉันเคยหลงใหล ด้วยใจไขว่คว้า ดิ้นรนโหยหา เหว่ว้าความคิดคำนึง ฝันใฝ่ถึงรัก อ้อมกอดเยียวยา… อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๔ ณ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน ดาวน์โหลดได้ที่ อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๔ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/11/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๔.pdf คอลัมน์ประจำฉบับ ความหลังครั้งยุวชนสยาม ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้น คอลัมน์ กรุณามีแสงนำ ตอน กล้ารัก คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก ตอน มองเปลี่ยนมุม คอลัมน์กวี สัมผัสใน… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๔
อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๓
“บทเรียนราคาแพง” ……มือที่เอื้อมมาสัมผัสมือฉันเบาๆสิ่งที่ฉันพยายามหาเหตุผลจากมือคู่นั้นมันเป็นเพียงสัมผัสอุ่นๆที่เต็มไปด้วยใจความขุ่นมัวในใจของฉัน แม้ว่ามือคู่นี้จะมาพร้อมกับคำว่า “เหนื่อยไหมวันนี้”… “อิสระแห่งการยอมรับ” ……เรามักมองว่า ความเป็นอิสระ หรือ การมีอิสระ คือการทะลุออกนอกกรอบ คือการแหกคอกหรือแหกกฎเงื่อนไข หรือคือการโบยบินไปแสนไกลจากที่ที่อยู่ ณ ตอนนี้… “หลากรสในหนึ่ง” ……สิ่งที่น่าตลกก็คือ ไม่ว่าทุกอย่างจะเละเทะ ขาดๆ เกินๆ บ้าง ตั้งไฟแรงเกินบ้าง ใช้เวลานานเกินไปบ้าง บทสรุปของชีวิตคือการยอมรับ… อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๓ ณ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน ดาวโหลดได้ที่ อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๓ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/10/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๓.pdf ลำดับบทความในอนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๓ ๑. งานเขียนรางวัลธรรมวรรณศิลป์ เรื่อง บทเรียนราคาแพง ๒. คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน อิสระแห่งการยอมรับ… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๓
“หลากรสในหนึ่ง” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๔
“หลากรสในหนึ่ง” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๔ โดย น้องเล็ก ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ล่ะ! หลากหลายรสชาติที่ต่างกันรวมกันอยู่ในชีวิตของคนเรานี่แหละ! แต่ไม่ว่ารสชาตินั้นจะแตกต่างหลากหลายมากเท่าใด ก็ยังก่อเกิดส่วนผสมและสูตรที่ลงตัว ไม่ว่าระหว่างใช้ชีวิตจะยุ่งเหยิงสักเท่าไร ส่วนผสมทุกอย่างถูกใส่รวมกันหมด เขย่าแล้วเขย่าอีก คนแล้วคนอีก ใส่วัตถุดิบเพิ่ม ใส่เหตุการณ์ใหม่ลงไป เหยาะซอสเพิ่มความกลมกล่อม… สุดท้ายแล้วชีวิตของทุกคนต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยงาม หอมหวาน รสชาติถูกใจผู้ปรุงและผู้ชิมเป็นอย่างยิ่ง! สิ่งที่น่าตลกก็คือ ไม่ว่าทุกอย่างจะเละเทะ ขาดๆ เกินๆ บ้าง ตั้งไฟแรงเกินบ้าง ใช้เวลานานเกินไปบ้าง บทสรุปของชีวิตคือการยอมรับ เข้าใจมัน ปล่อยวางบ้างก็ได้ และมีชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อรัก… ชีวิตอีกมาก ความรักก็เป็นเรื่องตลกแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า? เขาว่ากันว่า ความรักเป็นสิ่งที่ก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง… และอีกร้อยพันนิยามสำหรับความรัก มนุษย์เราช่างสรรหาสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อแปลความรักให้เป็นรูปธรรมมากมายเหลือเกิน… ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร รูปภาพ ภาษากาย แม้กระทั่งคำว่า ‘ความรัก’ ยังไม่สามารถทำให้เราเข้าใจแม้เพียงเศษละอองทุลีของความรักอันยิ่งใหญ่ อันขบขันนี้ได้เลย ความแตกต่างหลากหลายของส่วนผสมชีวิตของ ‘เมนูชีวิต’ ยิ่งมากยิ่งอร่อยฉันใด ความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วยกันยิ่งต่างกันมากก็ย่อมมีประโยชน์มากฉันนั้น… เส้นทางชีวิตของคนเรา หากได้พบเจอผู้คนที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง ย่อมเป็นโอกาสที่เราจะเรียนรู้อะไรได้อีกมากมายคล้ายๆ… Continue reading “หลากรสในหนึ่ง” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๔
อิสระแห่งการยอมรับ
หายใจเข้า รับรู้ดูแลลมหายใจเข้า เปิดรับและยอมรับ ทุกการหายใจที่เกิดขึ้น ณ ปลายจมูกและลึกลงในร่างกาย การหายใจคือการเปิดรับ การมีสติคือการยอมรับ ใส่ใจที่ลมหายใจเข้า ยอมรับอย่างผู้รู้ หายใจออก อำลาลมหายใจในร่างกาย ผ่อนออก เร็วหรือช้า รับรู้ดูแล หายใจออกคือปล่อยวาง สติคือการยอมรับ ใส่ใจที่ลมหายใจออก ยอมรับอย่างผู้วางลงแล้ว เมื่อเราจับปากกาเขียนอักษรถ้อยคำลง เรากำลังยอมรับความรู้สึกและความนึกคิดที่มีอยู่ในจิตใจ แผ่ลงวางเพื่อไตร่ตรอง เมื่อเราเจริญสติภาวนา จิตใจกำลังยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน เพื่อมีประสบการณ์และกำลังสำหรับการยอมรับทุกลมหายใจแห่งเหตุการณ์ชีวิต เรามักมองว่า ความเป็นอิสระ หรือ การมีอิสระ คือการทะลุออกนอกกรอบ คือการแหกคอกหรือแหกกฎเงื่อนไข หรือคือการโบยบินไปแสนไกลจากที่ที่อยู่ ณ ตอนนี้ เราอาจไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน เราอาจรู้สึกว่าชีวิตตอนนี้จำกัดไม่ให้เราทำอะไรเพื่อตนเองบ้างเลย เราอาจรู้สึกว่าใครบางคนใกล้ตัวเอาแต่กดดันหรือบังคับตนให้ทำสิ่งต่างๆ ทั้งที่หัวใจปฏิเสธ เราอาจใฝ่หวังช่วงเวลาที่หลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ ที่จำกัดเราไว้แบบนี้ รอคอยหรือเฝ้าหาหนทางเป็นอิสระ เมื่อใจเราคิดยึดว่า อิสระคือการไปจากที่นี่ เป็นการทะลุกรอบ หรือเป็นการโบยบินไปไกลแสนไกล เราย่อมผูกยึดติดตนเองไว้กับความไม่พอใจ กับการปฏิเสธ กับการทุกข์ตรม หรือกับความอยากใคร่มี กลับกลายเป็นว่าอิสระที่เราเชื่อมั่นกลายเป็นเชือกผูกเราไว้และปิดบังตามืดมน… Continue reading อิสระแห่งการยอมรับ
“สร้างนาม” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๓
คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๓ ตอน “สร้างนาม” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์ การหาชื่อกลุ่มก็เป็นเรื่องที่พูดกันมาก คุยกันหลายรอบ จำได้ว่ามีเพื่อนชื่อสุชาย เป็นประธานชมรมพุทธศาสน์หรือภาษาไทย ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ห้องชมรมติดกันกับชมรมภาษาอังกฤษที่ผมเป็นประธาน เป็นนักเรียนแผนกศิลป์ เป็นคนเรียบร้อย แบบมาตรฐาน คงอ่านหนังสือนอกห้องเรียนมากกว่าพวกเรา เขาเห็นมนัสกับผมครั่งท่านอาจารย์พุทธทาสและสวนโมกข์เขาก็เหล่ๆ อยู่ แต่เราก็ทำงานร่วมกัน เขามาช่วยงานภาษาอังกฤษที่เราจัดกับศึกษานารีด้วย ดูเหมือนจะขึ้นโต้วาทีด้วยกัน เขามีพี่ชายอยู่มหาวิทยาลัย รุ่นไม่ห่างพวกเรา ทำให้สุชายรู้เรื่องกลุ่มเรื่องชมรมค่ายต่างๆในมหาวิทยาลัยบ้าง และดูเหมือนจะมีกลุ่มแบบไม่เป็นทางการอยู่ด้วย ชื่อกลุ่มยุวชนอาสา พี่ชายเขาก็เคยมาประชุมกับพวกเรา อาจจะเป็นการประชุมครั้งแรกที่บ้านโตดังกล่าวมาแล้วด้วย ผมชอบชื่อนี้ ฟังเพราะดี แต่มีคนใช้เสียแล้ว ก็ต้องคิดกันใหม่ ตอนนั้นรัฐบาลกำลังโฆษณาต่อต้าน “ผู้ก่อการร้าย” อย่างมากมาย ชีฯเลยเสนอชื่อ “ผู้ก่อาการดี” ผมก็ตรองเรื่องชื่อมาก จนเช้าวันหนึ่งขณะที่กำลังถอนขนไก่ช่วยงานที่บ้านก่อนออกมาโรงเรียน ชื่อสองชื่อผุดขึ้นมา ชื่อหนึ่งคือยุวชนสยาม อีกชื่อคือ ยุวสยามินทร์ แต่ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าชื่อหลังหมายถึงอะไรกันแน่… Continue reading “สร้างนาม” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๓
“รักลงรอย” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๓
“รักลงรอย” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๓ โดย น้องเล็ก “ต่างกันแค่ไหน แต่ถ้าขาดกันไป คงจะไม่ไหว ไปไม่รอดสักอัน มาเป็นคู่ช่วยกันอยู่ทุกที ถึงต่างกันอย่างนี้ก็เป็นคู่กัน” * ความรักคืออะไร? What is love? ฉันนึกถึงคำถามนี้ขึ้นมา เมื่อรู้สึกว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตได้โบยบินจากไปแล้ว… แนวทางชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันไป หากเมื่อมีชะตาที่จะต้องเดินทางร่วมกันและได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณค่า ด้วยความรัก การสังเกตเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน จะได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยกัน และแบ่งปันเรื่องราวเก่าๆ ให้แต่ละคนได้รับรู้ เวลาที่มีคุณค่ามากมาย ช่วงเวลาเหล่านี้คงเป็นความทรงจำที่ดี ตราตรึงอยู่ในหัวใจตลอด… ทว่าหากตลอดเวลาที่ใช้อยู่ด้วยกันกลับมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยึดมั่นถือมั่นในอีกฝ่ายมากเกินไป หรือกลับดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม ผลลัพธ์ของช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันจะถูกตีค่าออกมาเป็นความเจ็บปวด พร้อมๆ กับบาดแผลเรื้อรังที่จะคอยกัดกินใจ และทำลายจิต กลายเป็นระเบิดเวลาที่ตัวเลขลดน้อยลงเรื่อยๆ เพื่อรอวันที่ความอึดอัดจะระเบิดออกมา และสาเหตุที่น่าเจ็บปวดที่สุดในการที่จะก่อระเบิดเวลานี้ก็คือ ‘ความไม่เข้าใจกัน’ ‘การไม่ลงรอยกัน’ เป็นปัญหาใหญ่ระดับจักรวาลเลยก็ว่าได้ อันเนื่องมาจาก ‘ความไม่สมดุล’ ความไม่สมดุลนี้แหละที่เป็นตัวการในการก่อกำเนิดสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภาพใต้ท้องฟ้ากว้างใหญ่ ท่ามกลางหุบเขาสายรุ้ง และระหว่างดวงดาวน้อยใหญ่ทั่วทั้งเอกภพ ดาราจักร… Continue reading “รักลงรอย” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๓
แน่ใจรัก
หายใจเข้า ให้แน่ใจว่าใจเราใส่ใจลมหายใจทุกละอองละเอียดอ่อนและทุกจังหวะหายใจเข้าช้า เร็ว รับรู้การเดินทางมาถึง จวบจนไหลลงสู่ร่างกาย ผ่านอวัยวะและส่วนต่างๆ เราติดตามการเดินทางของเขา หรือเพียงต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู หายใจออก อำลาพวกเขากลับคืนสู่บ้านอันกว้างใหญ่ ให้แน่ใจว่าเราได้ใช้เวลากับเขาอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว เพื่อมิให้หม่นหมองไขว่คว้ายามลมหายใจลับลาเลือน เมื่อเรารู้สึก เนื่องด้วยเหตุการณ์กระทบใจ หรือสิ่งใดมาผูกพันใจเรา ลองสำรวจภายในตน ถามจิตใจว่า ฉันรู้สึกอะไร รับรู้ความรู้สึกนั้น แต่อย่าเพิ่งปักใจเชื่อสนิทใจ เบื้องหลังของดอกไม้หอม และกลีบงาม ย่อมมีลำต้นผิวกร้านหยาบ มีรากหยั่งลงดิน ได้สารอาหารจากใบไม้และธาตุนานา เบื้องหลังอารมณ์ที่เรารับรู้ อาจมีความรู้สึกอื่นๆ ซ่อนอยู่ และมีความต้องการเบื้องหลังอันเป็นที่มาผลิความรู้สึกให้รู้สา หายใจเข้า ที่มาแห่งดอกไม้หอม อาจเป็นปุ๋ยอันเปื่อยเน่าในดิน ที่มาแห่งดอกไม้กลีบงามสวย อาจเพราะด้วยซากพืชซากสัตว์อันมิน่าดูชมที่หมักหมมอยู่ภายใน ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังการกระทำต่างๆ ของเรา ย่อมมีที่มาเหมือนดอกไม้ของต้นไม้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างแอบซ่อนหรือหมักหมมภายใน หายใจออก กลับมารับรู้ความรู้สึกของเราในยามหวั่นไหว เมื่อเราโกรธจนตัวสั่นเทา หรือเขินอายหน้าแดง หรือยามดีใจโลดเต้น ลึกๆ แล้วเรายังรู้สึกอะไร เบื้องหลังหัวใจมีความรู้สึกที่แอบซ่อน ความโกรธอาจปกป้องความกลัวไว้เบื้องหลัง เราอาจรู้สึกน้อยใจหรือเปลี่ยวเหงา ความโกรธมักต้องการเรียกร้องให้ผู้อื่นดูแล บางทีในเวลานั้นเราต้องการใครสักคนเคียงข้าง แต่มิมีมือใดแลเหลียว ยามเราเขินอาย เราอาจรู้สึกมีคุณค่าอยู่ภายใน เราอาจหวังผู้อื่นชื่นชมหรือให้ความรักแก่เรา… Continue reading แน่ใจรัก
อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๒
“แน่ใจรัก” …รักเช่นนี้จึงเป็นเพียงวิธีการ เราหลบเลี่ยงมิกล้าเผชิญต่อความรู้สึกที่ซ่อนในเงาใจ ละทิ้งความต้องการพื้นฐานของตน แล้วหวังพึ่งพาสิ่งภายนอกตัว เมื่อเรามิได้แน่ใจรักต่อตัวเอง เราจึงมิอาจแน่ใจรักต่อใครแท้จริง… “รักลงรอย” …ฉันนึกถึงคำถามนี้ขึ้นมา เมื่อรู้สึกว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตได้โบยบินจากไปแล้ว… “พันธสัญญาแห่งความเงียบงัน” …ถ้อยคำทั้งหลาย ล้วนเดินทางมาแสนไกล ล้ำลึกจากโลกภายใน ท้องทะเลหัวใจแห่งเธอ ยามคลื่นซัดโครมเข้าใส่ ฉันเฝ้าฟังดั่งหาดทราย… อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๒ ณ ตุลาคม ๒๕๕๘ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด ดาวโหลดได้ที่ อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๒ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/10/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๒.pdf ลำดับบทความในอนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๒ ๑. งานเขียนรางวัลธรรมวรรณศิลป์ เรื่อง ความทุกข์กับชีวิตของฉัน ๒. คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน แน่ใจรัก ๓. คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก ตอน รักลงรอย ๔. คอลัมน์กวี สัมผัสใน “พันธสัญญาแห่งความเงียบงัน”… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๑๒
“ก่อรูป” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๒
คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๒ ตอน “ก่อรูป” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์ ผลจากการประชุมอย่างหนึ่งที่แน่ๆก็คือเราต้องหาสมาชิกเพิ่ม พยายามขยายไปตามโรงเรียนต่างๆให้มากที่สุด ผมจำได้ว่าเราทำกันสองสามวิธี ประการแรกก็คือไปหาเพื่อนต่างโรงเรียนที่เรารู้จัก ผมเข้าใจว่า ป้อม สุจินดา เพื่อนบ้านงิ้วรายของชีฯเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาด้วยวิธีนี้ เธอเรียนอยู่สตรีวัดระฆัง ผมชวนหลายสาวที่เรียนอยู่สตรีวิทย์ มนัสชวนเพื่อนจากสุวรรณาราม ผมเข้าใจว่าเพื่อนศึกษานารีที่จัดงานภาษาอังกฤษด้วยกัน มาร่วมประชุมตั้งแต่ต้นที่บ้านโตแล้ว แต่มีสองคนจากศึกษานารี ที่ไม่ได้ร่วมกับงานชมรมฯ แต่ไปเจอกันที่ศึกษิตสยาม คือรังสิมา ลิมปิสวัสดิ์ และ วาสนา พุ่มพัดตุน สองคนนี้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์ภัทรศรี อนุมานราชธน หนีโรงเรียนไปเหมือนเรา เพราะอ่านหนังสืองงานศพของโกมล คีมทองเหมือนกัน จำได้ว่าตอนจะตั้งกลุ่ม นัดเจอเธอทั้งสองที่ข้างห้องสมุดวัดอนงคาราม ตรงวงเวียนเล็กในสมัยนั้น เธอทั้งสองอยู่มศ.๔ ผมอยู่มศ.๕ สันติสุข โสภณสิริอาจจะอยู่ด้วย เพราะเข้าคุ้นกับห้องสมุดนี้ดี เขาเคยบอกว่าเขาอ่านหนังสือหมดทุกเล่มในห้องสมุดนี้ อีกวิธีหนึ่งคือไปตามโรงเรียนที่มีครูฝึกสอนที่เคยมาสอนเรา และสนิทสนมกัน ผมจำได้ว่าทำให้เราได้เพื่อนจากวิทยาลัยครูธนบุรี มาร่วมด้วย… Continue reading “ก่อรูป” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๒
