เรามีสิทธิ์ทุกข์ได้

  หายใจเข้า มิแปลกอะไรหากเราขาดลมหายใจ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นในจิต หายใจออก แม้ได้มา แม้ได้มีลมหายใจ ความทุกข์ก็ยังเกิดขึ้นได้เช่นกัน กล่าวว่า เรามีความทุกข์อยู่เป็นธรรมดา เช่นที่มีความเสื่อม ความชรา และความไม่แน่นอนอยู่เช่นนั้น เรามีสิทธิ์ที่จะทุกข์ ได้อยู่เสมอ มิว่าเราเป็นใคร ฐานะมากมี รู้จักพอเพียงหรือขยันขวนขวาย ความทุกข์มิได้อยู่ใกล้หรือไกลกว่ากันเลย บางครั้งเราทุ่มเทชีวิต มิว่ามุ่งมั่นทำงาน เรียนจบระดับชั้นสูง มีครอบครัว ขวนขวายหาความรู้หรือเข้าอบรมฝึกฝนตน เราเกือบเชื่อหรือมั่นใจสนิทใจว่า เราจะไม่ทุกข์อีกแล้ว หรือ ทุกข์น้อยลงกว่าที่ผ่านมาเรื่อยๆ ทว่าแท้จริง ชีวิตอาจบอกเราในทางตรงข้าม เหตุการณ์ไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้ ความผิดพลาดย่อมมีบ้าง ความเจ็บไข้ได้ป่วย การพลัดพรากมิว่าชั่วคราวหรือนิรันดร ได้มาก็มีวันเสื่อมหาย บางครั้งเราก็ต้องผิดหวัง แม้แต่การพัฒนาตัวเอง หรือสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความสุขแท้จริงของชีวิตก็ตาม หายใจเข้า แม้ลมหายใจมาช่วยถ่วงความตายให้ช้าลง แต่ลมหายใจก็มีวินาทีล่วงผ่านจมูกลับหาย เรามีสิทธิ์ที่จะทุกข์อยู่เป็นธรรมดา แต่หลายครั้งเราพยายามกลบเกลื่อนความจริงข้อนี้ ด้วยการยึดมั่นสิ่งที่เราฉวยคว้ามาได้ มิว่าเป็นวัตถุหรือบุคคลภายนอก หรือคุณค่าคุณสมบัติภายใน เรายึดมาเกาะกุม บดบังการหยั่งรู้ถึงธรรมชาติของความทุกข์ เราย่อมเกิดความเสียใจ ความผิดหวัง และหม่นหมองได้ในที่สุด เหมือนการมองไปที่แสงสว่าง แต่ลืมเหลียวมองเงา ในความสุขและสิ่งประเสริฐ ก็มีความไม่เที่ยงแท้และความทุกข์อยู่… Continue reading เรามีสิทธิ์ทุกข์ได้

พรหมวิหารในหน้ากระดาษ (1)

  หายใจเข้า เราเติมความรักลงในตัวเรา ด้วยลมหายใจนี้ เพราะการหายใจคือความรักที่เรามีต่อตนเอง และการมีชีวิตอยู่ หายใจออก เพราะภายในเราเปี่ยมเมตตา เราจึงใช้ชีวิตอย่างมีความรักต่อตนเอง งาน สิ่งต่างๆที่เราลงมือทำ ต่อเพื่อนชีวิต และต่อสิ่งแวดล้อม เราใช้ชีวิตอย่างเมตตาตนเองมากเพียงใด ผลปรากฏผ่านความสุขความทุกข์ขณะวันเวลา และสัญญาณชีวิตต่างๆ ความเมตตาคือการปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น บ่อยครั้งเราเชื่อว่าตนเองหวังดีต่อชีวิต แต่เหตุใดการไขว่คว้า พฤติกรรม และความนึกคิด กลับทำร้ายตัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ดั่งการจรดปลายปากกาชีวิตลงหน้ากระดาษของวันคืน เมื่อน้ำหมึกเต็มด้วยโทสะและความเกลียดชัง แม้ภาพคำปรากฏสวยงามแต่ก็เป็นยาพิษแก่ตนและผู้อื่น หายใจเข้า เราอาจเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นไม่มากพอ เมล็ดพันธุ์แห่งกิเลศภายในเติบโตบดบังจากความสุขที่แท้จริง สิ่งที่เราลงมือทำอาจมีความหวังดี แต่มิได้นำสู่ความสุขที่สมดุล หรืออาจไกลห่างจากเป้าหมายที่แท้จริง เพราะเรายังขาดเมตตาต่อตนเอง เราอาจไขว่คว้าหรือดื่มกินสนองความอยากชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับก่อทุกข์ระยะยาวหรือสร้างปัญหาตามมา หายใจออก เมื่อเราเติมความรักลงในกายใจ เมตตาดั่งน้ำเจือจางยาพิษในปากกาชีวิต สิ่งที่เราเขียนลงหน้ากระดาษหนังสือหรือวันคืน ย่อมก่อความสุขที่ลึกซึ้งและเกิดคุณค่าแท้ เราลองพิจารณาพฤติกรรมของตนเองด้านต่างๆ สิ่งเหล่านั้นสะท้อนว่าเรามีเมตตามากเพียงใด ทั้งต่อตนเองและสิ่งรอบข้าง แม้เราสังเกตว่าชอบดูแลตนเอง มีพื้นที่ส่วนตัวเหมาะสม แต่กระทำต่อสิ่งของหรือคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจ นี่ย่อมเป็นสัญญาณบอกว่าเรายังขาดเมตตา แม้ดูแลตนหลายด้าน แต่บางด้านอาจละเลยทอดทิ้ง เมื่อเรากลับมาใส่ใจตนเองอย่างรอบด้านและลึกซึ้งเท่านั้น เราจึงสามารถรดน้ำแห่งความรักลงในผืนแผ่นดินของการมีชีวิตอยู่ คนมักรักตนเองเพียงบางด้านที่ถูกใจ เช่นเดียวกับที่ยอมรับด้านที่ถูกใจตนของคนอื่น เพราะเราขาดความใส่ใจมากพอที่จะหยั่งเห็นคุณค่าหรือสิ่งดีงามที่ซ่อนอยู่ในด้านลบของเขา แล้วเราเองอาจหลงลืมว่า เบื้องหน้าก็คือกระจกที่สะท้อนตัวตนของกันและกัน… Continue reading พรหมวิหารในหน้ากระดาษ (1)

วันเวลาให้โอกาส

  หายใจเข้า ในแต่ละนาที เราหายใจเข้าและออกมากเพียงใด ลมหายใจเราเดินทางสู่ภายในสั้นยาวเพียงไหน หายใจออก ปลดปล่อยลมหายใจตามวันเวลา มิใช่ปล่อยปละลมหายใจล่วงผ่านวันเวลา ชีวิตเรามีคุณค่า ลมหายใจเราจึงมีคุณค่าเกินกว่าจะทอดทิ้ง บางเหตุการณ์ ยากเหลือจะรับมือ เราต่างต้องการความเข้มแข็ง แต่บางทีหัวใจข้างในก็มิอาจฝืนยืนหยัด ล้มลงยอมอ่อนแอ เราหวังว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยา บางเหตุการณ์ มิอาจคิดหาหนทางแก้ บางคนบางใครยากเหลือจะสื่อสารกันให้เข้าใจกว่านี้ เราหวังว่าวันเวลาจะช่วยประสาน หวังว่าท้องฟ้าแห่งกาลเวลาวันหน้าจะเปิดโล่งแจ่มใส มีแสงส่องกระจ่างให้เห็นหนทางไป จากวันนี้ที่มืดมน หายใจเข้า วันเวลาช่วยแก้ไขได้จริงหรือไม่ หรือบางสิ่งที่ในใจเราเองที่จะเปลี่ยนแปลงผ่านวันเวลา หากชีวิตเราคือการก้าวเดิน วันเวลาที่มิใช่สายลมที่พัดพาเราก้าวไปข้างหน้า หากแต่วันเวลาคือระยะทางที่สองเท้าของชีวิตย่างก้าว ระยะทางนั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจและการลงมือทำของเรา หายใจออก ในโลกของหน้ากระดาษ ทุกบรรทัดคือโอกาสของการสร้างสรรค์ พื้นที่ว่างหยิบยื่นทางเลือกให้เราตัดสินใจ ลากเส้นขีดสีเติมคำ ดำเนินเรื่องราวและเนื้อหา ลมหายใจจับปากกาเชื่อมโยงชีวิตสู่ทุกการกระทำ เหตุการณ์ในตอนนี้เรารู้สึกอับจนหนทาง เรารอคอยและฝากฝังกาลเวลาดูแล สิ่งนี้บอกว่าเรากำลังมีความหวัง เราหวังว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นตามโอกาสและจังหวะของมันเอง การคิดเช่นนี้ ในแง่ดีคือการไม่ยึดติด ไม่บีบคั้น และผ่อนคลายตน ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามธรรมชาติจัดสรรบ้างก็ดี มิจำเป็นต้องบังคับการเขียนให้เป็นไปตามแผนทุกวรรคตอน ยอมให้ปากกานำทางบ้าง เราอาจได้แตกแถวของความคิดแบบเดิมหรือมุมมองแบบเดิม ได้เห็นเรื่องราวใหม่ เปิดโอกาสให้สิ่งที่ไม่คาดฝันได้ผลิเผย แต่ทว่า หากเราปล่อยให้วันเวลาจัดการ… Continue reading วันเวลาให้โอกาส

ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ

  หายใจเข้า วันเวลาเดินทางมาพร้อมลมหายใจ กาลเวลามาสู่เราเป็นธรรมดา ลมหายใจมาสู่เราเป็นความจริงของชีวิต สิ่งต่างๆเข้ามาผูกพันใจเป็นความจริงธรรมดา เรามิอาจหนีลมหายใจ การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีชีวิต หายใจออก เรามิอาจเลี่ยงหายใจออก ลมหายใจกลับคืนสู่บ้านตามธรรมดา การพลัดพรากเป็นความจริงของชีวิต เว้นพื้นที่ให้วันเวลาใหม่เติมเต็ม เรามิอาจยื้อลมหายใจออก การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีที่จะมีชีวิต เราอาจรู้สึกว่าสิ่งใดยิ่งพยายามหลบเลี่ยงหรือหลีกหนีก็ยิ่งเจอะเจอ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หายใจเข้า ลองหนีลมหายใจออก ไม่หายใจออก อัดอั้นไว้สักครู่ เราจะยิ่งรู้สึกจะต้องหายใจออก ยิ่งหายใจออกชัดเจน อาจหอบโล่งออก อาจยิ่งหายใจถี่กว่าเดิมหากกลั้นไว้นาน หายใจออก เรายิ่งหนีการหายใจ เรายิ่งเจอะเจอการหายใจ เพราะร่างกายมิอาจขาดลมหายใจ เพราะการหายใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะการที่ชีวิตต้องหล่อเลี้ยงด้วยลมหายใจเป็นความจริงที่เรามิอาจปฏิเสธ บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เราหนีบางสิ่งมาโดยตลอดยิ่งดั่งมีแรงดึงดูดจากตัวเรา ดึงให้สิ่งเหล่านั้นที่เราไม่อยากพบเข้าใกล้ เราอาจพลอยตำหนิว่า เป็นเพราะตัวเราไม่ดี สิ่งต่างๆเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น หรือเราอาจพลอยคิดเชื่อว่า ชีวิตเราเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งไม่ดีเหล่านั้นเสมอ เมื่อเรายิ่งพบเจอสิ่งเหล่านั้นที่มิต้องการเจอะเจอ เราก็ยิ่งทุกข์ใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งลูกศรดอกแรกที่ทำให้เราทุกข์ แต่เราก็ทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำด้วยลูกศรดอกที่สองคือความคิดความเชื่อที่ตอกย้ำตัวเองในทางลบอย่างผิดๆ หายใจเข้า เราไม่ใช่คนผิดหากว่าการหายใจเข้า พาสิ่งสกปรกในอากาศ หรืออากาศอันเป็นมลภาวะเข้าสู่ร่างกาย แต่สิ่งไม่ดีเหล่านั้น มีอยู่แล้วในอากาศรอบตัวเรา บุคคลเหล่านั้นที่มีบางสิ่งรบกวนใจเรา เขาเป็นอยู่ และเป็นมาด้วยวิถีของเขาอยู่แล้ว เรามิใช่ต้นเหตุหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเหล่านั้นเข้ามา  พวกเขาเพียงมีอยู่บนโลก มีและเป็น ทั้งดีและเสีย… Continue reading ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ

ยิ่งกลัวยิ่งสูญเสีย

  หายใจเข้า เราชวนลมหายใจเข้ามาสู่บ้านของเรา บ้านในปัจจุบันขณะ มิกังวลว่า เราจะต้องสูญเสียหรือพรากจากกันในอนาคตอันใกล้ หายใจออก ลมหายใจจากเรากลับคืนสู่ที่มาของผืนฟ้า เรามิกลัวหรือกังวลใจ เพราะลมหายใจกำลังกลับคืนสู่บ้านอีกคราครั้ง หายใจเข้า การสูญเสียนั้นเจ็บปวด มิว่าบุคคลอันเป็นที่รัก การงานหรือชื่อเสียง ของรักทรัพย์มีค่า สิ่งที่ห่วงและหวงแหน การสูญเสียอาจพาเราหม่นเศร้า หัวใจราวแหว่งวิ่นขาดหาย รอยร้าวจากการพลัดพรากอันยากจะทดแทน เมื่อใดที่เราสูญเสียบางสิ่ง หรือรู้สึกกำลังสูญเสีย หายใจออก กลับมาอยู่เป็นเพื่อนหัวใจ อย่าเพิ่งได้ด่วนจากตามด้วยความอาลัยหรือไขว่คว้าสิ่งชดเชย อยู่เป็นเพื่อนรับฟังตัวเอง เมื่อเรามิปรารถนาการถูกทอดทิ้ง  ขอเรากลับมาเคียงข้างใจยามเจ็บปวด ชวนเขาหรือเธอข้างในนี้ เฝ้ามองดูการสูญเสีย ดั่งดูลมหายใจออก ดั่งชื่นชมพระอาทิตย์ยามลับฟ้าหรือขอบทะเล มองดูการจากไป รับรู้ความเศร้าอาลัย หากดวงตาใจจะเห็นความมืดมนก็โปรดมองความมืดมนนั้น เพราะว่าเมื่อแสงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว ความมืดค่ำย่อมครอบคลุมกาลเวลา นี่มิอาจเลี่ยงพ้น เราอาจจุดไฟให้แสง เช่นเราให้กำลังใจหรือข้อคิดที่ดีกับตัว หากทำเช่นนั้นแล้วเรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ขอจงจุดไฟเถิด และหากความมืดนั้นยังมิหายไป ให้ความมืดมนอยู่ตรงนั้น เขามาตามธรรมชาติ หายใจเข้า ธรรมชาตินั้นย่อมมีลักษณะร่วมกัน เหมือนกันอยู่ นั่นคือความไม่แน่นอน มีความทุกข์ และไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มิว่าสิ่งใด คนที่เรารัก ใครที่ผูกพัน สิ่งล้ำค่า และแม้แต่ตัวเราก็มิพ้นสามลักษณะนี้… Continue reading ยิ่งกลัวยิ่งสูญเสีย

ชีวิตบอกใบ้

  หายใจเข้า อ่านลมหายใจทุกขณะดังอ่านทุกวรรควลีของหนังสือสำคัญ หายใจออก ร่างกายยามหายใจ กำลังบอกใบ้อะไรเกี่ยวกับตัวเรา อ่านลมหายใจเรา หายใจตื้นเขิน ชีวิตเคร่งเครียดบีบคั้นเพราะสิ่งใด หายใจยาวจนหมดแรงใจ เก็บกลั้นสิ่งใดเหนื่อยอก หายใจเข้าแล้วอึดอัดหรือบีบเกร็ง อะไรหนอปิดกั้นชีวิตชีวา ทุกบรรทัดของหนังสือ บอกใบ้ความหมายมากมายกว่าที่อักษรปรากฏ เรื่องราวแห่งเลือดเนื้อดำรงซ่อนอยู่ ผู้รู้จักอ่านนัยยะระหว่างบรรทัด หรือระหว่างอักขระที่จารึก ย่อมหยั่งลึกความหมายของชีวิตมากกว่าภาพลักษณ์ที่ปรากฏเห็นชัดเจน หายใจเข้า ชีวิตบอกใบ้สิ่งสำคัญแก่เราเสมอ ผ่านเรื่องราวที่พบเจอ ผ่านเหตุการณ์และลางสัญลักษณ์ต่างๆ ระหว่างก้าวเดินของชีวิต เมื่อเรารู้อ่าน รู้สังเกต เราย่อมเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าไยจึงส่งสิ่งนั้นมาสู่ชีวิตของฉัน ธรรมชาติต้องการบอกอะไรจากเหตุการณ์นี้ หายใจออก เมื่อรู้อ่าน รู้สังเกต เราย่อมน้อมนำความหมายหรือข้อมูลนั้นมาใช้แก่ชีวิตเราได้ เพื่อป้องกัน เพื่อแก้ไข หรือเพื่อหาทางออก ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวเพราะเราเงียบคำหรือหลบเลี่ยงการสื่อสาร อาจบอกเราว่าจำเป็นแล้วที่ต้องพูดสิ่งที่ควรพูด หรือต้องเผชิญกับถ้อยคำความจริงที่อาจไม่หวานหู เราอาจเลือกสื่อสารเพื่อเยียวยาความไม่เข้าใจได้ทันการณ์ แทนที่จะปล่อยให้เหตุการณ์ซ้ำร้ายลง หรือเกิดปัญหาเดิมกับบุคคลใหม่ ความเป็นตัวเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่กว้างใหญ่ เป็นดั่งตัวอักษรหนึ่งบนหน้ากระดาษ เป็นดั่งหนังสือเล่มหนึ่งท่ามกลางหอสมุด เรานั้นคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การกระทำของเราส่งผลต่อสิ่งต่างๆ ที่เชื่อมโยงผูกพันกับเรา ดั่งถ้อยคำหนึ่งทำให้ความหมายของทั้งบรรทัดแปรเปลี่ยน เมื่อเราเป็นเช่นถ้อยคำหนึ่ง นักเขียนย่อมต้องดูแลเรา เมื่อเรามีความหมายผิดเพี้ยน สื่อความไม่ชัดเจน หรือหลงประเด็น… Continue reading ชีวิตบอกใบ้

อิสระแห่งการยอมรับ

  หายใจเข้า  รับรู้ดูแลลมหายใจเข้า เปิดรับและยอมรับ ทุกการหายใจที่เกิดขึ้น ณ ปลายจมูกและลึกลงในร่างกาย การหายใจคือการเปิดรับ การมีสติคือการยอมรับ ใส่ใจที่ลมหายใจเข้า ยอมรับอย่างผู้รู้ หายใจออก อำลาลมหายใจในร่างกาย ผ่อนออก เร็วหรือช้า รับรู้ดูแล หายใจออกคือปล่อยวาง สติคือการยอมรับ ใส่ใจที่ลมหายใจออก ยอมรับอย่างผู้วางลงแล้ว เมื่อเราจับปากกาเขียนอักษรถ้อยคำลง เรากำลังยอมรับความรู้สึกและความนึกคิดที่มีอยู่ในจิตใจ แผ่ลงวางเพื่อไตร่ตรอง เมื่อเราเจริญสติภาวนา จิตใจกำลังยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน เพื่อมีประสบการณ์และกำลังสำหรับการยอมรับทุกลมหายใจแห่งเหตุการณ์ชีวิต เรามักมองว่า ความเป็นอิสระ หรือ การมีอิสระ คือการทะลุออกนอกกรอบ คือการแหกคอกหรือแหกกฎเงื่อนไข หรือคือการโบยบินไปแสนไกลจากที่ที่อยู่ ณ ตอนนี้ เราอาจไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน เราอาจรู้สึกว่าชีวิตตอนนี้จำกัดไม่ให้เราทำอะไรเพื่อตนเองบ้างเลย เราอาจรู้สึกว่าใครบางคนใกล้ตัวเอาแต่กดดันหรือบังคับตนให้ทำสิ่งต่างๆ ทั้งที่หัวใจปฏิเสธ  เราอาจใฝ่หวังช่วงเวลาที่หลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ ที่จำกัดเราไว้แบบนี้ รอคอยหรือเฝ้าหาหนทางเป็นอิสระ เมื่อใจเราคิดยึดว่า อิสระคือการไปจากที่นี่ เป็นการทะลุกรอบ หรือเป็นการโบยบินไปไกลแสนไกล เราย่อมผูกยึดติดตนเองไว้กับความไม่พอใจ กับการปฏิเสธ กับการทุกข์ตรม หรือกับความอยากใคร่มี กลับกลายเป็นว่าอิสระที่เราเชื่อมั่นกลายเป็นเชือกผูกเราไว้และปิดบังตามืดมน… Continue reading อิสระแห่งการยอมรับ

แน่ใจรัก

  หายใจเข้า  ให้แน่ใจว่าใจเราใส่ใจลมหายใจทุกละอองละเอียดอ่อนและทุกจังหวะหายใจเข้าช้า เร็ว รับรู้การเดินทางมาถึง จวบจนไหลลงสู่ร่างกาย ผ่านอวัยวะและส่วนต่างๆ เราติดตามการเดินทางของเขา หรือเพียงต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู หายใจออก อำลาพวกเขากลับคืนสู่บ้านอันกว้างใหญ่ ให้แน่ใจว่าเราได้ใช้เวลากับเขาอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว เพื่อมิให้หม่นหมองไขว่คว้ายามลมหายใจลับลาเลือน เมื่อเรารู้สึก เนื่องด้วยเหตุการณ์กระทบใจ หรือสิ่งใดมาผูกพันใจเรา ลองสำรวจภายในตน ถามจิตใจว่า ฉันรู้สึกอะไร รับรู้ความรู้สึกนั้น แต่อย่าเพิ่งปักใจเชื่อสนิทใจ เบื้องหลังของดอกไม้หอม และกลีบงาม ย่อมมีลำต้นผิวกร้านหยาบ มีรากหยั่งลงดิน ได้สารอาหารจากใบไม้และธาตุนานา  เบื้องหลังอารมณ์ที่เรารับรู้ อาจมีความรู้สึกอื่นๆ ซ่อนอยู่ และมีความต้องการเบื้องหลังอันเป็นที่มาผลิความรู้สึกให้รู้สา หายใจเข้า  ที่มาแห่งดอกไม้หอม อาจเป็นปุ๋ยอันเปื่อยเน่าในดิน ที่มาแห่งดอกไม้กลีบงามสวย อาจเพราะด้วยซากพืชซากสัตว์อันมิน่าดูชมที่หมักหมมอยู่ภายใน ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังการกระทำต่างๆ ของเรา ย่อมมีที่มาเหมือนดอกไม้ของต้นไม้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างแอบซ่อนหรือหมักหมมภายใน หายใจออก  กลับมารับรู้ความรู้สึกของเราในยามหวั่นไหว เมื่อเราโกรธจนตัวสั่นเทา หรือเขินอายหน้าแดง หรือยามดีใจโลดเต้น ลึกๆ แล้วเรายังรู้สึกอะไร เบื้องหลังหัวใจมีความรู้สึกที่แอบซ่อน  ความโกรธอาจปกป้องความกลัวไว้เบื้องหลัง เราอาจรู้สึกน้อยใจหรือเปลี่ยวเหงา ความโกรธมักต้องการเรียกร้องให้ผู้อื่นดูแล บางทีในเวลานั้นเราต้องการใครสักคนเคียงข้าง แต่มิมีมือใดแลเหลียว ยามเราเขินอาย เราอาจรู้สึกมีคุณค่าอยู่ภายใน เราอาจหวังผู้อื่นชื่นชมหรือให้ความรักแก่เรา… Continue reading แน่ใจรัก

แลกด้วยชีวิต

  หายใจเข้า  ทุกลมหายใจคือการตัดสินใจ หายใจออก ทุกการตัดสินใจคือความรับผิดชอบต่อชีวิต เมื่อเราจรดปลายปากกา ทุกถ้อยคำที่ลากเส้นขดม้วน ตรงและโค้ง คือการเลือกและการตัดสินใจ ทุกๆ เสี้ยวเวลาแห่งการเขียน เปี่ยมด้วยความรับผิดชอบและการกล้าเข้าแลก ชีวิตเราอยู่กับการตัดสินใจเกือบตลอดเวลา ตั้งแต่ยามเช้าเราเลือกว่า จะหยิบสวมเสื้อผ้าใด ทักทายคนในครอบครัวอย่างไร กินข้าวเช้ากับอะไร จะรับมือกับปัญหาจราจร เดินทางไปทำงาน และจัดการกับภาระงานตลอดทั้งวันอย่างไรบ้าง  เราต้องตัดสินใจนับตั้งแต่ตื่นนอนจวบจนสิ้นวัน สถานการณ์ต่างๆ มาให้เราได้เลือกได้ตัดสินใจรู้สึก นึกคิด และลงมือทำ ชีวิตเราขึ้นอยู่กับปัจจัยนานา ทว่าสิ่งสำคัญนั้นคือการตัดสินใจของเราเอง ทุกขณะใจ มีการเลือกและการตัดสินใจแทบตลอดเวลา เมื่อเราพบเจอสิ่งมากระทบความรู้สึก จิตใจเลือกเฟ้นท่าที คิด รู้สึก และตอบโต้  ทุกความรู้สึกในใจเรามิใช่ความรับผิดชอบของผู้อื่น แต่เกิดจากการเลือกของตัวเราเอง เราเลือกสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมา โดยอาศัยสิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นเครื่องปรุง หายใจเข้า หัวใจคือหน้ากระดาษ และจานอาหาร เรามีวัตถุดิบจากภายนอกตัว นำมาคลุกเคล้าและสร้างผลงานเขียนหรืออาหารจานใหม่ด้วยมือเราเอง หายใจออก จิตใจเรามีศักยภาพแห่งการสร้างสรรค์ เราคิด รู้สึก และปรุงแต่งภายในตลอดเวลา เหมือนสมุดบันทึกที่เราเลือกเขียนสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเราเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเราคือผลของการเลือกของตัวเราเอง ทุกขณะที่เราจรดปลายปากกาลง มิว่าลงบนหน้ากระดาษสมุดบันทึกหรือกระดาษแห่งจิตใจ ทุกคำที่เขียน คือการตัดสินใจของตัวเรา… Continue reading แลกด้วยชีวิต

พลังทั้งห้า

  หายใจเข้า  เราน้อมพาอากาศและธาตุนานาเข้าสู่ร่างกาย ผ่านช่องทางหายใจและประตูต่างๆ เติมเชื้อพลังแก่ชีวิต เหมือนใส่ฟืนไม้หรือถ่านสู่เตา หายใจออก  เราจุดพลังในตนเองเฉกเช่นจุดไฟฟืน ปะทุความร้อนเป็นเปลวกระพือ ก่อนนำพลังออกมาใช้เพื่อกิจวัตรและกิจกรรมของตน  เหมือนการจุดไฟเพื่อประกอบอาหารหล่อเลี้ยงชีวี การเขียนก็เป็นเช่นการประกอบอาหาร เราต้องใช้พลังลงมือทำ ผลักดันให้ปากกาลากเส้นลิขิตอักษร เกิดเป็นงานเขียนชิ้นหนึ่ง ซึ่งท้ายสุดสิ่งนี้จะบ่มพลังในตัวผู้เขียนและผู้อ่านอีกด้วย ชีวิตจะก้าวไปข้างหน้าได้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้แหล่งพลังงาน เราต้องมีวิธียังพลังนั้นให้ให้คงโหมแรงพอพาเราก้าวไป  เปรียบชีวิตกับรถยนต์ เราเติมแก๊สหรือน้ำมันแล้วยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีไฟฟ้าจุดติดเครื่อง ต้องมีน้ำมันเครื่องคอยหล่อเลี้ยง และที่สำคัญต้องมีพลังของการขับขี่จึงจะควบคุมรถยนต์ให้เคลื่อนที่ หายใจเข้า พลังของชีวิตนั้นมีอยู่หลายด้าน จำเป็นต้องดูแลให้ครบถ้วนเหมาะสม พลังของชีวิตนั้นแลคือสิ่งที่จะสร้างสรรค์งานเขียน หากเราไร้ซึ่งพลังชีวิตแล้วย่อมมิอาจเขียนผลงานที่ดีได้ เพราะการสร้างสรรค์คือการเคี่ยวคั้นเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเราเป็นเชื้อไฟ เช่นร่างกายต้องมีพลังในการสร้างและซ่อมแซมส่วนต่างๆของเราตลอดเวลา พลังของชีวิตนั้นคือพลังของการสร้าง หากเรามิอาจหล่อเลี้ยงพลังชีวิตตนอย่างเหมาะสม ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองพลัง เราย่อมแห้งเฉาเหมือนพืชผักขาดการรดน้ำ หายใจออก ในทางพุทธศาสนา เราแบ่งพลังออกเป็นห้าส่วนด้วยกัน พลังเหล่านี้พาชีวิตเราเติบโตและก่อเกิดงานเขียนสร้างสรรค์ พลังอย่างแรกคือศรัทธาหรือความไว้วางใจ เมื่อเราพามือจับปากกา เราต้องวางใจในตนเองเพียงพอที่จะสร้างพื้นที่แห่งการเขียน ให้ความคิด ความรู้สึก และจินตนาการได้หลั่งไหลอย่างไม่มีการปิดกั้น วางใจว่าเรามีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์อยู่แล้วเพียงต้องให้โอกาสลงมือทำ  วางใจในทุกความหมายที่ถ้อยคำปรากฏ วางใจว่าหน้ากระดาษแผ่นนี้คือพื้นที่แห่งการดูแลตนเองและการเติบโต ศรัทธาต่อคุณค่าของตนเอง เราจึงปล่อยเรื่องราวได้เดินทาง  ศรัทธาว่าการเขียนจะพาเราพัฒนาชีวิตทั้งมิติความคิด จิตใจ ร่างกาย และด้านอื่นๆ  เราจึงเขียนเพื่อบ่มเพาะชีวิต… Continue reading พลังทั้งห้า