เรามีสิทธิ์ทุกข์ได้

 

หายใจเข้า มิแปลกอะไรหากเราขาดลมหายใจ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นในจิต

หายใจออก แม้ได้มา แม้ได้มีลมหายใจ ความทุกข์ก็ยังเกิดขึ้นได้เช่นกัน

กล่าวว่า เรามีความทุกข์อยู่เป็นธรรมดา เช่นที่มีความเสื่อม ความชรา และความไม่แน่นอนอยู่เช่นนั้น เรามีสิทธิ์ที่จะทุกข์ ได้อยู่เสมอ มิว่าเราเป็นใคร ฐานะมากมี รู้จักพอเพียงหรือขยันขวนขวาย ความทุกข์มิได้อยู่ใกล้หรือไกลกว่ากันเลย

บางครั้งเราทุ่มเทชีวิต มิว่ามุ่งมั่นทำงาน เรียนจบระดับชั้นสูง มีครอบครัว ขวนขวายหาความรู้หรือเข้าอบรมฝึกฝนตน เราเกือบเชื่อหรือมั่นใจสนิทใจว่า เราจะไม่ทุกข์อีกแล้ว หรือ ทุกข์น้อยลงกว่าที่ผ่านมาเรื่อยๆ ทว่าแท้จริง ชีวิตอาจบอกเราในทางตรงข้าม

เหตุการณ์ไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้ ความผิดพลาดย่อมมีบ้าง ความเจ็บไข้ได้ป่วย การพลัดพรากมิว่าชั่วคราวหรือนิรันดร ได้มาก็มีวันเสื่อมหาย บางครั้งเราก็ต้องผิดหวัง แม้แต่การพัฒนาตัวเอง หรือสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความสุขแท้จริงของชีวิตก็ตาม

หายใจเข้า แม้ลมหายใจมาช่วยถ่วงความตายให้ช้าลง แต่ลมหายใจก็มีวินาทีล่วงผ่านจมูกลับหาย เรามีสิทธิ์ที่จะทุกข์อยู่เป็นธรรมดา แต่หลายครั้งเราพยายามกลบเกลื่อนความจริงข้อนี้ ด้วยการยึดมั่นสิ่งที่เราฉวยคว้ามาได้ มิว่าเป็นวัตถุหรือบุคคลภายนอก หรือคุณค่าคุณสมบัติภายใน เรายึดมาเกาะกุม บดบังการหยั่งรู้ถึงธรรมชาติของความทุกข์ เราย่อมเกิดความเสียใจ ความผิดหวัง และหม่นหมองได้ในที่สุด

เหมือนการมองไปที่แสงสว่าง แต่ลืมเหลียวมองเงา ในความสุขและสิ่งประเสริฐ ก็มีความไม่เที่ยงแท้และความทุกข์อยู่ เมื่อเราไม่ทำใจยอมรับ ทุกข์เพราะการที่ต้องทุกข์ ก็จะเปรียบดังการตอกย้ำตนเองให้จมจ่อมลงในห้วงแห่งความทุกข์ตรม

หายใจออก ถึงแม้เราขัดเกลาตนเองมากแล้ว ภาวนาบ่อยหนเข้าแล้ว เติบโตขึ้นจากห้วงวันเก่าก่อน เราก็ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์ทุกข์ เราย่อมทุกข์ได้เป็นธรรมดา แม้เราจะประสบความสำเร็จในด้านหนึ่งด้านใดมา แม้เราได้เปลี่ยนชีวิตจากการพัฒนาตนเอง ผ่านการอบรมหรือประสบการณ์ใดก็ตาม ความทุกข์ย่อมเหมือนเงาติดตามมา แม้ในสิ่งดีๆ ที่เราได้รับมากับชีวิต ก็ย่อมมีความทุกข์อยู่บ้างมากน้อยตามอัตภาพ

เมื่อเราหลงลืมความจริงข้อนี้ เราทุกคนมีสิทธิ์ทุกข์ได้ ก็ยิ่งตอกย้ำทุกข์ของเรา ด้วยความเศร้าเสียใจ ผิดหวัง หรือบั่นทอนคุณค่าตัวเราลง เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น เราอาจละทิ้งสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ไปโดยมิแลเหลียวด้านบวกด้านประโยชน์ที่มีต่อตัวเรา เราอาจคาดหวังที่จะได้รับความสุขที่สมบูรณ์แบบจากการคบกับคนนี้ การทำอะไรแบบนี้ หรือเรียนรู้อบรมนี้ แต่เมื่อเราเจอความไม่ชอบใจ เจอสิ่งที่กระทบใจ เราอาจสะบัดทิ้งและพยายามหนีจากความทุกข์ แต่ไม่ได้ยอมรับความจริงและคุณค่าของสิ่งเหล่านั้นอย่างที่เป็นเลย

หนีจากทุกข์ เท่ากับเราหนีจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต ปิกกั้นโอกาสการเรียนรู้

ยามจรดปากกาเขียนสร้างสรรค์งาน เมื่อไม่อาจลิขิตได้ดังอารมณ์ ความทุกข์ก็เกิดขึ้น แม้เขียนได้ดีดังใจ แต่ไม่อาจทำต่อหรือทำซ้ำได้ ความไม่พอใจ ความเบื่อหน่าย และอารมณ์ลบต่างๆ อาจรบกวน แม้เขียนงานเสร็จ คนไม่ชอบ ไม่คิดเห็นคุณค่า หรือเห็นต่าง ความรู้สึกทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้น มิแตกต่างจากการเขียนชีวิตของตนเอง เราอาจไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ชัดเจน แต่หากสังเกตุเห็นความกระวนกระวาย ความไม่สบายใจ ความขุ่นเคืองใจ ความร้อนรน หรือหวั่นไหว นี่ก็สะท้อนร่องรอยความทุกข์ที่เรายังไม่รับรู้ว่ามีอยู่

เรายอมรับสิทธิ์ที่จะทุกข์นี้เพื่อให้เราเห็นความเป็นธรรมดา ยอมรับว่าเป็นเพียงความธรรมดา เกิดขึ้นเพราะอะไร และจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง มิได้ปรุงแต่งเกินเลยหรือตัดสินเกินการณ์ มิได้พยายามหลีกหนีจากทุกข์จนทำร้ายตนเองและคนอื่น มิได้จ่อมจมด้วยการกล่าวโทษหรือตอกย้ำชีวิต มิได้ตกร่องพฤติกรรมซ้ำรอย และมิได้พยายามหนีแต่ไม่ได้แก้ปัญหา

หายใจเข้า เรามีสิทธิ์ที่จะพ้นทุกข์ เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพ้นทุกข์ เมื่อเรายอมรับความทุกข์อันเป็นธรรมดา เราย่อมกรุณาต่อตนเองและผู้อื่นอย่างซื่อใส คือมีใจหวังให้พ้นทุกข์อย่างแลเห็นความจริง

เมื่อเราโอบกอดทุกข์ได้สนิทใจ รักตนเองอย่างลึกซึ้งลง เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความกรุณาย่อมงอกงามเหมือนกิ่งก้านจากลำต้น หากความเมตตาหรือการรักตนเองเป็นลำต้นแล้ว กรุณาก็คือกิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงหยิบยื่นออกมา เพื่อเป็นผู้ให้แก่ตนเองและผู้อื่นอย่างแท้จริง

ให้และลงมือทำ ด้วยหวังตนเองและผู้อื่น หลุดพ้นจากความทุกข์ ละเอียดอ่อนลงตามระดับความสามารถ ใช้ชีวิตดั่งการให้ อย่างรู้ว่าเราทุกคนมีสิทธิ์ทุกข์ได้และหลุดพ้นจากทุกข์ได้

เมื่อนั้นเราก็จะสัมผัสผู้อื่นด้วยหัวใจเรา มีดวงตาที่แลเห็นสิทธิ์ที่จะทุกข์ในตัวเขาหรือเธอ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเหตุให้มีพฤติกรรมหรือท่าทีรบกวนเราหรือทำร้ายเรา เช่นเดียวกับตัวเราเองที่มีโอกาสทำเช่นนั้นกับใครอื่นอย่างไม่รู้ทันความทุกข์ในตนด้วยเหมือนกัน

หายใจออก ทุกถ้อยคำที่เราเขียนลง เพื่อมอบคุณค่าแก่ผู้อ่านหรือพัฒนาฝึกฝนตนเอง เมื่อจรดปลายปากกาอย่างรู้สิทธิ์ที่จะทุกข์และพ้นทุกข์ของตนและใครๆ เรามิได้เป็นผู้วางบรรทัดเหล่านั้น แต่เป็นหัวใจที่วางลงด้วยความกรุณา วางบรรทัดและร้อยเรียงอักษรเหล่านั้นด้วยใจหวังเป็นผู้ให้ชนิดที่รู้จักชีวิตถูกต้อง

เมื่อเราขาดการหยั่งรู้สิทธิ์ที่จะทุกข์ ไม่ยอมรับหรือผลักไสความทุกข์ออกไป เราย่อมเป็นผู้ให้แก่ชีวิตตนเองและผู้อื่นอย่างขาดความเข้าใจ เมื่อเรายอมรับหรือโอบกอดทุกข์ได้แนบสนิทเท่านั้น เราจึงมีความกรุณาหรือหวังให้ตนและผู้อื่นผ่านพ้นจากทุกข์ได้ละเอียดลึกซึ้ง เหมือนดั่งหากไม่ยอมรับว่าตัวเราหรือคนอื่นกำลังเปียกปอนฝนอยู่ เพราะมีฝนตกอยู่เป็นธรรมดา เราย่อมมิได้ตั้งใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เราย่อมมิได้ให้ในสิ่งที่ควรให้ เพื่อให้ตัวเราหรือคนอื่นพ้นจากการเปียกฝน

แม้เราจะตัวใหญ่เพียงใด เก่งกาจ มากความสามารถ ได้รับคำชื่นชม หรือเคยประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างไร เราเจอฝนก็เปียกได้ เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง

สำหรับผู้ที่สนใจการเขียนเพื่อพัฒนาชีวิตตน ลองบันทึกหรือเขียนเพื่อหวังให้ตัวเราพ้นจากความทุกข์ที่เผชิญหรือเคยพบเจอ ด้วยความหวังความปรารถนาดี และด้วยความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเขียน ลองหยั่งถามลงในหัวใจเราว่า เราปรารถนาให้ตัวเราเป็นเช่นใด เรามีสิทธิ์ที่จะเป็นเช่นใดได้บ้าง ค้นหาสิทธิ์นั้นผ่านการเขียน บ่มเพาะความกรุณาให้เติบโตบนหน้ากระดาษของเรา ด้วยการยอมรับและการหยั่งรัก

หายใจเข้า ให้ทุกลมหายใจเตือนเราว่า มิว่าเราเป็นใคร เรามีสิทธิ์ทุกข์ได้ เป็นธรรมดา เช่นเดียวกันกับทางตรงข้าม เราย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ได้ เป็นธรรมดาเมื่อใจถึงพร้อม เปิดหัวใจสัมผัส

หายใจออก ให้ทุกลมหายใจออกบอกเราว่า มิว่าเขาหรือเธอเป็นใคร เราทุกคนมีสิทธิ์ทุกข์ได้ เป็นธรรมดา เช่นเดียวกับทางตรงข้าม เขาหรือเธอย่อมพ้นจากทุกข์ได้ ด้วยพื้นที่ของเราเปิดรับสัมผัส และเกื้อกูลด้วยใจสนิทใจ

 

เขียนปลดปล่อยชีวิต12_2527

 

ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต

คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #19