“เธอไม่จำเป็นต้องกลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคง
ชีวิตไม่ใช่ความมั่นคงตั้งแต่ต้น
แผนการใดของคนจึงจะแน่นอน
เมื่อไม่มีความแน่นอนตั้งแต่ไหน”
.
…หากเธอกลัวความไม่มั่นคง ในแง่หนึ่งก็เท่ากับว่าเธอก็กลัวชีวิต เพราะชีวิตคือความไม่มั่นคงในตัวเองอยู่แล้ว
ไม่มีเหตุผลที่จะกังวลว่าชีวิตจะหักเหและไม่แน่นอนไหม เพราะธรรมชาติของชีวิตนั้นก็คือความไม่คงที่
ถ้าโลกและชีวิตเป็นความเที่ยงแท้ คงไม่มีต้นไม้งอกงามแตกใบและผลิผล ไม่มีฤดูกาล ไม่มีฝนตก ไม่มีความงามของดวงอาทิตย์ขึ้นและลง ไม่มีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ไม่มีแม้แต่ชีวิตของเราในตอนนี้
เพราะความไม่เที่ยงแท้ก็คือทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงและดับสลายเป็นธรรมดา การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดชีวิตและการเริ่มต้นใหม่
จิตใจคนเราแสวงหาความมั่นคง เพราะจิตใจนั้นอยากมีตัวตนที่คงอยู่ และอยากควบคุมชีวิตได้ แต่เพราะสิ่งนี้เองมิใช่หรือ ที่เป็นบ่อเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายในชีวิต
บ่อเหตุแห่งทุกข์ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากความคาดหวังว่า…สิ่งที่มีความไม่แน่นอนเป็นธรรมชาติจะมั่นคงและคงที่ได้ สิ่งที่มีความทุกข์เป็นธรรมชาติจะมีความสุขอันสมบูรณ์แบบ และสิ่งที่ไม่อาจถือเป็นตนหรือของๆ ตนอย่างธรรมชาติทั้งหลายและชีวิต จะมีความเป็นตัวตนและของๆ ตนได้อย่างแท้จริง
เราสร้างแผนการต่างๆ ในชีวิต ซึ่งมิใช่เพียงแผนการที่บอกว่าฉันจะทำอะไร แต่เป็นความคาดหวังที่บ่งบอกว่า ฉันจะต้องเป็นอย่างไร และจะต้องได้รับอะไร เพราะจิตใจต้องการความมั่นคงและความแน่นอน และก็พยายามรักษาแผนการนั้น จนเสมือนดั่งว่าแผนการในหัวคือตัวชีวิต
ทั้งที่ชีวิตคือลมหายใจที่เข้าและออกอยู่ในตอนนี้เท่านั้น
เราเครียดและเป็นทุกข์เพียงใดกับความพยายามรักษาแผนการหรือความคาดหวังเหล่านั้น กอดรัดจนสร้างกำแพงขึ้นมาในใจและปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไป
.
“จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้ ?
เธอจะชนะความไม่แน่นอนด้วยกำแพงได้ไหม ?
เพราะความกลัวจึงคาดหวัง
จึงกอดรัดแผนการต่างๆ อย่างหมกมุ่น”
.
…ด้วยความกลัวความไม่มั่นคงและสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงสร้างแผนการต่างๆ ในหัวขึ้นมาอย่างยุ่งเหยิง เพียงเพื่อกลบเกลื่อนความจริงในใจและความจริงในชีวิตที่เรียกว่า “อนิจจัง” คือความไม่เที่ยงแท้ จิตใจเรารู้ลึกๆ ถึงความจริงข้อนี้แต่แค่แสร้งกลบเกลื่อนไว้
แม้แต่ใจเราเองก็ยังไม่แน่นอน ไยจึงคาดหวังว่าสิ่งอื่นๆ ในชีวิตจะแน่นอนได้
แล้วแผนการทั้งหลายในหัวนั้น จะมีสิ่งใดที่อยู่เหนือความไม่จีรังยั่งยืน เพราะแม้แต่ความคิดก็ไม่คงทน วันดีคืนดีหรือไม่กี่วินาทีก็เพียงลมที่พัดมาและผ่านไป
จิตใจที่ขาดความมั่นคงในตัวเอง จะพยายามหาสิ่งนอกตัวมายึดเกาะไว้ เพื่อเป็นที่ตั้งของใจให้มั่นคง หรือไม่ก็กอดรัดแผนการทั้งหลายในหัวนั้น
เมื่อกอดรัดแผนการก็วางเงื่อนไขต่อชีวิตตัวเอง และคนรอบตัว ด้วยความคาดหวังว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น จะต้องทำอย่างนี้ หรือไม่เป็นแบบใด
สิ่งนี้ทำให้ชนะความกลัวอย่างแท้จริง หรือยิ่งทำให้กลัวมากขึ้น ? ในเมื่อสร้างแผนการทั้งหลายขึ้นมาก็ต้องสร้างกำแพงในใจขึ้นมาปกป้องแผนการเหล่านั้นจากความไม่แน่นอนของชีวิต
เราจึงเครียดเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นดั่งใจ ไม่อาจควบคุม หรือสูญเสีย นั่นคือกำแพงที่อยู่ในใจที่มีไว้ปกป้องแผนการต่างๆ ของเรา
เราพยายามสู้หรือหนีจากความทุกข์ จนเป็นทุกข์ พยายามสู้กับข้อจำกัด จนจำกัดตัวเองในแผนการ พยายามหนีจากความจริง จนไม่เข้าใจความจริงของชีวิต
.
“อย่าครุ่นคิดจนเคร่งเครียดไปเลย
อยู่กับความไม่แน่นอนให้เหมือนต้นไม้ที่หยั่งราก
ไม่หนี ไม่สู้ กับความเป็นจริง
หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วสิ่งที่หา เธอก็จะเจอ”
.
… ทางเดียวที่จะเอาชนะความไม่แน่นอนของชีวิต คือการยอมรับว่าชีวิตไม่แน่นอน
ลองเรียนรู้ที่จะสงบและมั่นคงดั่งต้นไม้ ไม่ว่าเขาจะหยั่งรากลงดินลึก หรืออยู่ในกระถางก็ตาม
เขาก็ยอมรับข้อจำกัดของตัวเองอย่างกล้าหาญเสียยิ่งกว่าคนเราหลายๆ คน
เขาไม่ได้พยายามหนีหรือสู้กับความจริง แต่พยายามเติบโตและแตกกิ่งใบตามหน้าที่อย่างดี
นี่คืออิสรภาพแห่งใจ ที่มิได้ถูกจำกัดด้วยความไม่แน่นอนหรือสิ่งบั่นทอนภายนอก
เคยเห็นดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางสิ่งไม่สวยงามไหม
เคยเห็นต้นไม้ที่งอกงามแม้สิ่งรอบข้างจะผุพังและไม่ดีพอหรือไม่
เขาไม่คิดพยายามเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของชีวิต มิได้คาดหวังว่าจะต้องได้เจอกับสิ่งดีๆ หรือการไม่มีข้อจำกัดใดๆ แต่ออกดอกออกผลได้และมีคุณค่ากับโลกใบนี้
.
“ไม่คิดเป็นเจ้าของชีวิต
จึงไม่ทุกข์เพราะชีวิต
เหมือนที่เขาอยู่ในกระถางก็งอกงาม
ไม่คิดหนีความไม่ยั่งยืน จึงออกดอกออกผล”
.
“ชีวิตเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลง
วันนี้ พรุ่งนี้ ไม่ใช่ความเที่ยงแท้
ความทุกข์ความเสื่อม
ไม่อาจหนีไม่อาจสู้”
.
…เมื่อไม่สู้กับชีวิต และไม่หนีจากชีวิต จึงได้ใช้ชีวิต
แม้ชีวิตจะไม่แน่นอน แต่สิ่งที่น่ายินดีในความไม่แน่นอนนี้ คือทุกสิ่งล้วนแต่เปลี่ยนแปลงได้ เราที่มีความทุกข์ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน
.
.
เขียนเล่าเสริมบทความเก่า คอลัมน์ บทภาวนา อนัตตา ตอนที่ 24
โดยครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์
ติดตามกิจกรรมได้ที่เพจ สถาบันธรรมวรรณศิลป์
และไลน์โครงการ @khianpianchiwit