จบเดือนสาม “เขียนเปลี่ยนชีวิต” รุ่นที่ 57

 

หลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต รุ่นที่ 57 ได้ผ่านเดือนที่สามแล้ว กับการเดินทางเข้าสู่วัยเด็ก ปมจิตใจ และเมล็ดพันธุ์ที่ซ่อนอยู่ ผ่านการเขียนหลากหลายวิธีการในการสะท้อนตนเองและต่อยอดสิ่งดีๆ ที่เราทุกคนมีอยู่ เชิญชวนตัวตนเด็กน้อย ตัวตนผู้ใหญ่ และหลากหลายตัวตนมาสร้างบ้านที่อบอุ่นและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ตัวเอง

คำบอกเล่าส่วนหนึ่งจากกิจกรรม 6 คืนที่ผ่านมาของเนื้อ “เด็กน้อยภายใน” (คืนวันที่ 9 – 24 กรกฎาคม 2568)

“ความรู้สึกท่วมท้นไปหมด บางครั้งเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยากเข้าไปสัมผัส คืนแรกพอได้เข้าไปคุยด้วย ความรู้สึก พรั่งพรู เสียใจ กลัวเขาผิดหวัง ออกมาทั้งหมด น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ ท่วมท้นออกมา สงสารเขาที่เห็นเขาโตมา ไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง แต่เขาดูไม่ได้ตัดสินเรา อย่างที่เรากังวล คืนเรียนที่2 ได้แชร์ในกลุ่ม การกลับไปสัมผัสความทุกข์วันเด็ก บ่อยๆ อาจทำได้มากขึ้น ก่อนนี้รู้สึก ขนาด เกลียดกลัว ไม่อยากเข้าไปสัมผัส ปฏิเสธตัวเองส่วนหนึ่ง เมื่อเข้าไปทำความเข้าใจ ปรากฏ ไม่ได้น่ากลัว เหมือนที่คิดไว้”

“พบว่าเรามีเด็กน้อยภายในที่เค้ารอเราในวัยผู้ใหญ่กลับไปดูแลเค้ามีปมในใจหลายอย่างที่ต้องการเยียวยาให้ดีขึ้นได้ย้อนกลับไปดูตัวเองในวัยเด็กว่าเป็นแบบใดและในวัยผู้ใหญ่เป็นแบบใดได้กลับไปคุยกับเด็กน้อยภายในว่าเพราะเรามีปมอะไรดูจากการเลือกความต้องการต่างๆมา3ข้อที่ตอนเด็กเราขาดไปไม่ได้รับทำให้บั่นทอนเราจนส่งผลมาถึงชีวิตปัจจุบันความรู้สึกหรือการกระทำใดที่ส่งผลต่อตัวเราในปัจจุบันจากการลงมือทำๆให้รู้ว่าเราจะเยียวยาความรู้สึกลบที่ค้างคาใจได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ในปัจจุบัน”

“การเขียนครั้งนี้ทำให้ตัวเราได้เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองอย่างไรได้ทำสมาธิอยู่กับโลกภายในของตัวเองได้คุยตอบกับเด็กน้อยภายในที่ยอดเยี่ยมแข็งแรงอดทนต่อสิ่งต่างๆมากมายมาได้ได้ปลดปล่อยความเชื่อที่ไม่ส่งเสริมไม่ต้องรอให้สมบูรณ์แบบและไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใดเหมือนเราได้อยู่กับปัจจุบันเลิกยึดมั่นถือมั่นปล่อยวางความเชื่อต่างๆที่ส่งผลต่อตัวเอง”

“เรามีพ่อแม่ภายในที่จะคอยเป็นทั้งผู้ปกป้อง ผู้สอนสั่ง ผู้หล่อเลี้ยง เด็กน้อยภายใน มีเมล็ดพันธุ์หลากหลายอยู่ในตัวเรา ตอนครูให้ทำกิจกรรม 6 ช่อง เราชอบมาก สิ่งที่ตอนเป็นผู้ใหญ่มันหายไป คือ ความฉาดฉาน เราต้องลดดีกรีความกล้าพูด กล้าแสดงออกลง เพราะเมื่อเป็นผู้ใหญ่เราต้องระวังหลายเรื่อง เราได้เรียนรู้ว่าเด็กน้อยภายในแม้ว่าจะเคยได้รับความเข้าใจผิดหรือบิดเบี้ยวของชุดความคิด แต่เราก็สามารถแก้ไข และปรับภาพนั้นได้ การเคยโดยทำร้าย โดยเฉพาะการทำร้ายด้วยวาจาจากคนอื่น ไม่ได้หมายความ ว่า เราจะต้องอยู่กับการทำร้ายนั้นตลอด ทุกอย่างไม่จีรัง ไม่มีอะไรตลอดไป ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งที่จะโอบอุ้มเราไว้ คือตัวเราเอง แม้ใครไม่ใจดีกับเรา แต่เราต้องใจดีกับตัวเอง ”

“สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเรียนเรื่องเด็กน้อยภายใน อย่างที่บอก ตอนแรกเราไม่ happy เลยกับการเรียนเรื่องนี้ เพราะมันไปขุดอดีต แต่เมื่อเรียนไปและทำความเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อได้เขียนนิทานผ่านกระบวนการกิจกรรม จินตภาพ มันทำให้เราปลดล็อก และมีความสุขกับเรื่องเด็กน้อยภายในมาก อย่างที่ครูบอก ตัวตนเรามีหลายเมล็ดพันธุ์ แต่จิตปภัสสรจะทำให้ทุกตัวตนของเราและจิตใจของเรามั่นคง เด็กน้อยในตัวความสดใสคือผู้หล่อเลี้ยงความน่ารักในตัวเรา เด็กน้อยในตัวเราจะปกป้องเราให้บทเรียนกับเรา สร้างประสบการณ์ที่เราเคยเจอ เราจะเติบโตขึ้นจากบทเรียนและประสบการณ์เหล่านี้”

“ไม่คิดว่าตัวเองจะเสียน้ำตาจากกิจกรรมนี้ค่ะ เพราะจริงๆ เป็นคนคิดบวก และลืมความทุกข์ตอนเด็กไปแล้ว แต่การได้มาระลึกถึงอีกครั้ง มันเหมือนแผลที่ตกสะเก็ดที่เราคิดว่าหายแล้ว สะเก็ดนั้นได้หลุดออกไปจริงๆ และตอนท้ายเหมือนเด็กน้อยแสนเศร้าคนนั้นบอกเราว่า “ขอบคุณที่ไม่ลืมหนูนะคะ” ประทับใจตอนเข้ากลุ่มย่อย ได้ฟังเรื่องราวคนอื่นๆ ได้แชร์เป็นคนปิดท้าย ถึงมุมมองของการ ”ยอมรับ“ ความทุกข์ ว่าเราทำอย่างไรถึงสามารถ ”โอบกอด“มันได้ และการที่สามารถทำได้จากใจจริง มันช่วยให้เราทุกข์น้อยลง ได้แชร์สิ่งที่เคยอ่าน และธรรมะที่เคยฟัง จนเพื่อนๆ บอกขอบคุณ และมีคนนึงบอกว่า ”เหมือนได้ตื่นรู้ไปด้วยจากสิ่งที่เราแชร์” … มันรู้สึกปีติ ตื้นตันใจ และเป็นสุขมากค่ะ ปิดท้ายชอบมากตอนที่ครูบอกว่า ”ฉันมีโลกกว้างเป็นสนามเด็กเล่น“ เป็นคำที่ ทำให้ตาสว่างมากๆ ทำให้เบาสบายจากความกังวลหลายอย่าง เพราะได้คิดว่า …ไม่เห็นต้องกลัว หรือเสียดายอะไรเลย ลองผิดลองถูก ทำไปเลย สนุกกับชีวิตให้พอ สุดท้ายเราก็ต้องจาก ”สนามเด็กเล่น“ นี้ไป และเอาอะไรไปไม่ได้สักสิ่งเดียวนอกจาก จิตวิญญาณ ชอบมากๆ จะท่องจำไว้เตือนตัวเองเรื่อยๆ ค่ะ อีกบทเรียนสำคัญที่ได้จากครูคือ … ความรู้สึก ”ขาด“ ที่ทำให้เรา ปรารถนาบางอย่าง อยากได้ในสิ่งที่ไม่มีนั้น… อาจเป็นคำบอกใบ้ว่า ภารกิจสำคัญในการเกิดมาในชาตินี้ของเรา ก็เพื่อค้นหา เติมเต็ม สิ่งที่ ”ขาด“ นั้น ให้เจอ และเราเติมเต็มตัวเราเองได้ ด้วยมุมมองชีวิตแบบใหม่ แม้ในสถานการณ์แย่ๆ ที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่ามันจะคืออะไร เรากลับไปมองด้วยความเข้าใจใหม่ เราก็จะเติมเต็มได้ทุกความต้องการ และไม่รู้สึก ”ขาดแคลน“ สิ่งนั้นอีกเลยค่ะ ”

“ทำให้เราได้โอบกอดตัวเอง มองเห็นนิสัยทั้งสองด้านอย่างตอนโตและตอนเด็ก ว่าเรายังมีอะไรเหมือนเดิมบ้าง หรือเปลี่ยนไปอย่างไร ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ซึ่งทำให้เห็นชัดถึงวิวัฒนาการการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้หวนนึกถึงวันวานที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ค่ะ ชอบหัวข้อที่ถามร่างกายว่าที่ผ่านมาเราใช้ปมทางใจมาลงที่ร่างกายอย่างไรบ้าง ซึ่งทำให้เรารู้เลยว่าที่ผ่านมา เราใช้ปมทางใจทำร้ายตนเองไปอย่างที่เราไม่รู้ตัว เช่น กลัวการถูกหักหลัง และไม่อยากที่จะสนิทและให้ความไว้วางใจใครจนเกิดความระแวง กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นปมขนาดใหญ่ที่กัดกินใจเรามานาน การที่เราได้ลงมือทำกิจกรรมในชั่วโมงเรียน ทำให้ทราบว่าปมทางจิตใจของเราที่เกิดขึ้นในตอนโต เป็นภาพสะท้อนในตอนที่เรายังเด็ก และจะเกิดขึ้นทุกช่วงชีวิตก็ต่อเมื่อมีเหตุมากระตุ้น จนเกิดกระบวนการป้องกันตนเอง”

“บางเรื่องมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดแต่เราไปคิดซับซ้อนเองค่ะ อย่าคิดเยอะเกินให้ลงมือทำเลย รวมถึงแคร์สายตาคนรอบข้างน้อยลงทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีและรักค่ะ ขอบคุณคุณครูที่แบ่งปันแบบฝึกหัดนี้ ทั้งสร้างสรรค์และได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ข้อความสำคัญสำหรับตัว หนูก็คือเธออาจไม่ได้เห็นโลกตามความจริง บางทีเธอมองเห็นในสิ่งที่เธออยากเห็น เธอจะพบความงามเมื่อใช้ใจมอง รู้สึกดีที่ได้เห็นอะไรต่างๆในตัวเอง เป็นรูปธรรมมากขึ้น ปกติเรามีความสับสนวุ่นวายข้างใน พอเราได้เขียนออกมา ก็เบาสบายขึ้นค่ะ”

“ฉันเรียนรู้ว่าความโกรธเป็นอารมณ์ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่ การต้องเก็บความไม่พอใจที่มีต่อพ่อเอาไว้ในใจทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดมาก จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ความโกรธถูกปล่อยออกมาในรูปของวาจาและการกระทำที่รุนแรงและก้าวร้าว สิ่งนี้คือสิ่งที่ฉันตั้งใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาให้เกิดขึ้นในตัวฉัน ฉันเปิดกว้างต่อความคิดใหม่ๆ คนใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ต่อความไม่สมบูรณ์แบบ ต่อความแตกต่าง ฉันทดลองยอมรับความทุกข์โดยไม่ผลักไสมันออกไป ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยต้องการความสงบสุขภายในครอบครัว บ้านที่ปราศจากเสียงทะเลาะเบาะแว้ง บ้านที่ปลอดภัยกับความรู้สึก สิ่งดีๆ ที่ฉันเป็นคือ การเป็นคนอ่อนไหว รับรู้ความรู้สึกได้เร็วและเข้มข้นกว่าคนปกติทั่วไป ฉันต้องการความมั่นคงในจิตใจ ภารกิจชีวิต/จิตวิญญาณของฉันคือ การฝึกสติ ฉันเรียนรู้ว่าสติเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจตัวเอง เมื่อฉันเข้าใจตัวเอง ฉันจะเข้าใจคนทุกคน เพราะมนุษย์เหมือนกันหมด มีกิเลส โลภ โกรธ หลง”

“ได้มีโอกาสกลับเข้าไปสำรวจเรื่องราวในอดีตตอนเป็นเด็ก และความทรงจำเก่าๆ ที่เหมือนจะเลือนหายไปแล้ว แท้จริงอาจเป็นเรื่องที่อยากลืมและฝังกลบไว้และต้องใช้เวลาในการรื้อฟื้นอยู่พอสมควร แต่พอได้ให้เวลากับตัวเองนึกย้อนกลับไปพูดคุยกับตัวเองในวัยเด็ก ถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กน้อยวันนั้นรู้สึกเป็นทุกข์ กลับทำให้สามารถมองเห็นเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นอิสระ ในฐานะผู้สังเกตดู ไม่ใช่เหยื่อผู้อยู่ในเหตุการณ์ ราวกับว่าความทุกข์และความกลัวที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ของตัวเรา ได้พูดคุยปลอบโยนโอบกอดเด็กน้อยในวันนั้นด้วยความเมตตา ชื่นชมและให้กำลังใจที่สามารถเติบโตจากอดีตที่ผ่านมาได้อย่างงดงาม”

“การเขียนเพื่อสนทนากับเด็กน้อยภายในเกี่ยวกับตัวตนและความเชื่อ ช่วยให้ได้มองต่างมุม ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกขาดหายและต้องการได้รับการเติมเต็มว่ามีสาเหตุ มีที่มาจากไหน สามารถยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น รู้สึกวางใจในตัวเอง รู้สึกเปิดกว้างในมุมมองความคิดความรู้สึกมากขึ้น เป็นอิสระที่จะแสดงออกในความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่บนพื้นฐานความรักความเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น รู้สึกสนุกและประทับใจในเทคนิคการเขียนรูปแบบแผนผังต่อเนื่อง (Cluster/Clustering)ที่ช่วยทำให้สามารถลงลึกไปสำรวจแก่นแท้ความปรารถนาวัยเด็กจากคำที่กระจัดกระจายต่างๆ ที่ไม่น่าจะสัมพันธ์กันได้ แต่เมื่อนำมาเรียงร้อยกลับได้ข้อความที่ทรงพลัง มีคุณค่าและความหมายอย่างมากสำหรับตัวเอง รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถเติบโตจากอดีตและได้ใช้ชีวิตที่สงบสบายใจตามความปรารถนา เป็นบ้านที่แท้จริงให้กับตัวเอง และผู้คนรอบข้าง”

“ทำให้เราได้เห็นว่า ที่ผ่านมา เมื่อเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราจะใช้ความเป็นผู้ใหญ่มาแก้ปัญหาที่เราพบเจอในแต่ละช่วงชีวิต และด้วยความเป็นผู้ใหญ่ เราจึงมีข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆมากมายให้ต้องคิด จึงกลายเป็นการสร้างกรอบปิดกั้นตัวเองมากจนเกินไป จนทำให้ชีวิตยากขึ้น การก้าวผ่านปัญหาแต่ละเรื่องจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น เราน่าจะนำข้อดีที่เรามีตอนเป็นเด็กมาใช้ในการแก้ปัญหาบ้าง ใช้ชีวิตให้เหมือนตอนเราเป็นเด็ก มีความสดใสร่าเริง สนุกและมีความสุขได้ง่ายๆ เวลามีปัญหาก็ไม่เครียดนาน ตัดจบไปเป็นวันๆ แบบไม่มีอะไรติดค้างในใจ ไม่ยึดติดกับปัญหา ปล่อยวางให้เร็วเหมือนตอนเราเป็นเด็ก สร้างความสมดุลของความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ไม่ให้มากไปหรือน้อยไป”

“กิจกรรมสำรวจความกลัวในวัยเด็ก ได้เลือกความเชื่อที่เคยเชื่อหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่ตนเองเชื่อตอนเป็นเด็กหรืออายุน้อยคือ “ฉันไม่สามารถมีหรือเป็นในสิ่งที่ฉันต้องการ” พอได้สำรวจจากตัวตนผู้ใหญ่จากคำถามของครูแล้วพบว่า สิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอดคืออิสภาพ แต่ที่กลัวมาตลอดเป็นเพราะกลัวจะผิดหวัง ไม่เป็นไปตามที่ต้องการหรือคาดหวังไว้จนกลายเป็นความชินชาว่า อยากจะมีก็เท่านั้น อยากจะเป็นก็เท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอก และที่ไม่สามารถมีในตอนเด็ก ๆ ได้เพราะว่ามันอาจจะยังไม่ถึงเวลา อดทน และสักวันหนึ่งที่เราโตขึ้น เราจะบินออกจากกรอบใด ๆ และมีอิสรภาพที่จะเลือก จะเป็นในสิ่งที่เราต้องการ
—กิจกรรมฉันมีโลกกว้างเป็นสนามเด็กเล่น อันนี้เป็นกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งค่ะ ได้วาดอะไรก็ได้ เขียนอะไรก็ได้ที่สุดท้ายก็ดูไม่ออกว่าเขียนอะไรลงไป เหมือนเป็นงานศิลปะแบบ abstract สุด ๆ แต่รู้สึกได้ถึงการปลดปล่อยอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะตอนหลับตาเขียน เราไม่ต้องคิดว่าเราจะเขียนถูกไหม ตรงไหม เราแค่เขียนตามที่เราคิดและเป็นอิสระจากทุกสิ่ง และคาดหวังกับความสมบูรณ์แบบน้อยลง”

“หลังจากทำแบบฝึกหัด ในแต่ละขั้นตอน ที่ให้คุยกับ ตัวตนความเชื่อ เด็กน้อยภายใน และตัวฉัน ทำให้รู้สึกว่าที่ผ่านมาตอนเด็กที่เชื่อแบบนั้นเพราะเราอยากจะมีเพื่อนเยอะๆ อยากให้เพื่อนรัก จึงพยายามทำตัวและมีความคิดเห็นให้เหมือนกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ เพื่อให้รู้สึกว่าเราไม่แตกต่างจากคนอื่น การแสดงออกส่วนใหญ่ของเราจึงมักเป็นการตามใจเพื่อนแล้วก็หยวนทำในสิ่งที่เราอาจจะไม่ได้ชอบหรือไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่พอได้กลับไปทบทวนจึงรู้ว่า จากการทำตามความเชื่อแบบนั้น ทำให้เรากลายเป็นคนที่ขาดจุดยืน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดความมั่นใจ และไม่กล้าแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราได้แต่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น จนไม่ได้รักตัวเองมากพอ ไม่ได้ทำตามเสียงลึกๆในใจของเราเพื่อให้เรามีความสุขในแบบของเราเลย แบบฝึกหัดนี้ ทำให้เรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วเราสามารถปรับความเชื่อได้ โดยการเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เปิดเผยและจริงใจ รักตัวเองให้มาก สิ่งเหล่านี้จะเป็นการดึงดูดคนที่มีลักษณะเหมือนกับเราให้เข้ามาใกล้เราเอง ท้ายที่สุดเราก็สามารถมีความสุขกับเพื่อนที่มีความคล้ายกับเราได้ และเราควรจะรักตัวเองและขอบคุณตัวเองให้มากขึ้น”

“เด็กน้อยภายในเขาสอนฉันว่า…ความสุขไม่ได้ยากเกินไป /น้ำตาไม่ใช่เรื่องน่าอาย
การหัวเราะกับเรื่องเล็กๆ คือพรที่แท้จริง และเมื่อวันใดที่รู้สึกหมดแรง
ฉันแค่นึกถึงมือเล็กๆ ที่เคยคว้าแดด นึกถึงหัวใจที่ไม่เคยหมดศรัทธาในตัวเอง
เพียงเท่านั้น…ฉันก็พร้อมจะก้าวต่อไป เพราะในวันที่โลกดูสับสน ฉันยังมีเขา…เด็กน้อยในใจ
คอยย้ำเตือนว่า “เธอไม่เคยเดินคนเดียวเลย”
ความรู้สึกและสิ่งที่เกิดขึ้นในใจหลังเขียน “เด็กน้อยภายใน”
1. ความอ่อนโยนกลับคืนมา “เข้มงวดกับตัวเองเกินไป” มานาน
เมื่อได้กลับไปพูดกับตัวเองในวัยเด็ก จากคำว่า “ต้องเก่ง” กลายเป็น “ไม่เป็นไรเลยนะ”
จาก “ทำไมไม่สำเร็จ” กลายเป็น “เธอพยายามมากแล้วนี่นา”
เหมือนได้กอดตัวเองด้วยสายตาของแม่ หรือเหมือนได้เป็นผู้ใหญ่ที่เด็กคนนั้นเฝ้ารอมาเสมอ
2. เกิดการให้อภัยและเยียวยา เริ่มให้อภัยตัวเองในสิ่งที่เคยโทษตัวเองมานาน
ทั้งความล้มเหลวในวัยเรียน / ความผิดพลาดในความสัมพันธ์ /ความไม่กล้าในบางช่วงชีวิต
3.ค้นพบสิ่งที่หล่นหายไป…และอยากเก็บคืนมา เคยฝัน เคยกล้า เคยรักตัวเองมากกว่านี้
แต่วันหนึ่งมันก็หายไป เพราะโลกสอนให้ “โต” การเขียนแบบนี้… ทำให้ตัวเรากลับมาเริ่มต้นบางสิ่งที่เคยทิ้ง
กลับไปวาดรูปอีกครั้ง กลับมาเขียนไดอารี่ กลับมาเดินเล่นคนเดียวโดยไม่รู้สึกผิด
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เคยเงียบหาย
ได้กลับไปซื่อสัตย์กับความรู้สึก
ได้กลับมาหายใจในแบบที่เป็นธรรมชาติของตัวเรา
ได้เริ่มต้น “รักตัวเอง” จากจุดที่เคยหายไป”

“ฉันได้เริ่มพูดคุยกับเด็กน้อยภายใน และได้ยินเสียงความต้องการของเขาชัดเจนว่า “อยากได้รับการมองเห็น รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่ อยากได้รับความใส่ใจ เข้าใจ และยอมรับ” สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่ความรัก แต่คือพื้นที่ให้เขา ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้เล่น รู้สึก สนุก และมีชีวิตชีวาอยู่กับปัจจุบัน ฉันได้เรียนรู้ว่าต้องหาสมดุลระหว่างความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นเด็ก โดยไม่หลุดจากความเป็นตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการแสดงออกและการลงมือทำ โดยไม่ต้องซีเรียสหรือกังวลว่าจะได้อะไร จะสำเร็จหรือไม่ แค่ลงมืออย่างอิสระก็เพียงพอแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกชัดเจนมากขึ้นว่า การเยียวยาไม่ได้เริ่มจากใครนอกจากตัวเราเอง และเด็กน้อยในใจก็คือพลังที่รอคอยจะได้รับการเห็น เข้าใจ และรักอย่างไร้เงื่อนไข”

” ได้เรียนรู้ตัวตนของเด็กน้อย สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเด็กน้อย ในมุมมืด มุมร้ายของตัวเด็กน้อย เด็กน้อยที่แสดงตัวเองออกมาเพื่อให้เป็นที่ยอมรับเป็นที่รักของคนอื่น แต่ต้องกดสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองทำให้เกิดมุมมืด ของเด็กน้อย และได้เรียนรู้ความเจ็บปวดมุมมืดของเด็กน้อย ได้กอด ได้พาเด็กน้อยออกมาจากตรงนั้น มีแอบร้องไห้ให้กับเด็กน้อยด้วยค่ะ ขอบคุณคุณครูมากนะคะ ที่ทำให้ สิ่งที่ค้างคาใจ ทั้งในตัวเด็กน้อย และผู้ใหญ่ ในตอนนี้ได้หาคำตอบให้ตัวเองได้ ขอบคุณมากๆ ค่ะ”

“รู้สึกปล่อยวางตัวเองจากมุมมองความเชื่อที่บิดเบี้ยว และรู้สึกตื่นเต้นและเชื่อมั่น กับมุมมองใหม่ๆที่ค้นพบผ่านความเป็นเด็กที่ทุกอย่างการเล่น ผ่านการเขียน ถ้าโลกนี้คือสนามเด็กเล่น และฉันเล่นเป็น…
ได้เกิดการปิ๊งไอเดียและปลดล็อคตัวเองว่าตอนเด็กเราเคยเล่นขายของและของธรรม ไม่เคยได้เล่นในบทบาทอาชีพที่เราอยากเป็นในอนาคต แต่พอใช้ความคิดสร้างสรรค์และความสนุกแบบเด็กเข้าไป ทำให้เกิดความมั่นใจลึกๆว่าเราสามารถเล่นเป็นอะไรก็ได้ รู้สึกตื่นใจที่ได้เรียนรู้เรื่องความฝันจากการทำCluster เกิดความเข้าใจใหม่เรื่องข้อแตกต่างของMindMap และทำให้เป็นอิสระมากขึ้นที่เราจะแตกประเด็นอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องรีบจัดระบบข้อมูล รู้สึกโล่งกับการไม่ต้องสมบูรณ์แบบ รู้สึกได้ค้นพบคำตอบเรื่องการรับมือกับชีวิตและเติบโตจากภายในการเขียนนิทาน รู้สึกเปิใจและเชื่อมั่นว่าตัวเองก็สามารถแต่งนิทานได้ผ่านWorkshop ที่ครูชวนทำ และค้นพบเรื่องการภายในที่สืบค้น ผ่านบทบาท “นักสืบ” ที่ทำให้ได้ค้นพบสัจธรรมในชีวิต คือ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง”

“ตอนบันทึกเด็กน้อยภายในบอกว่าอยากวาดรูป ชีวิตช่วงนั้นมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้ทุกข์มาก เขาเป็นห่วงตอนนี้มากกว่าให้กังวลน้อยลงบ้าง ให้คนอื่นได้เรียนรู้ ให้เชื่อว่าเขาก็ดูแลตัวเองได้
สิ่งดีๆในตอนเด็กรักษาความสนุก กระตือรื้อร้น จดหมายจากเด็กน้อยภายใจ ระวังเรื่องอารมณ์ อยู่กับคนอารมณ์ขึ้นๆลงๆง่าย บางครั้งพาเราดิ่งไปด้วย เด็กน้อยให้คิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำให้อนาคตมากๆ แม่มักจะบอกว่าคนร้องไห้โง่ เพราะร้องแล้วปวดหัวคิดอะไรไม่ออก ชอบที่ครูสอนเรื่องอย่าหนีความทุกข์และความรู้สึกจริงๆในใจ ให้เด็กน้อยร้องไห้ ยอมรับ ไม่สู้ไม่หนี พอทำตามแล้วก็จบ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมารอบต่อๆไปความรู้สึกก็แค่สิ่งนี้เคยเกิดขึ้น และปัจจุบันจบแล้ว ”

” ฉันพบว่า มีหลายคุณสมบัติในตัวฉันลดลงหรือหายไปหลายข้อเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ความจริงจังในชีวิต มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบในหน้าที่ จนลืมความสดใส ร่าเริงในวัยเด็กจนเกือบหมดเลย วามรู้สึกที่ได้กลับไปพูดคุยกับเด็กน้อยภายใน คือ รู้สึกสบายใจ มีความสุข รู้สึกว่า ความสดใส ร่าเริง ตื่นเต้น มีพลัง ในวัยเด็กได้กลับมาในใจอีกครั้ง เด็กน้อยภายในมาเตือนตัวเราในปัจจุบัน ให้กลับมาสดใส ร่าเริง ไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก ปล่อยวางกับชีวิตบ้าง กลับมากล้าหาญ กล้าแสดงออก เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่ชอบทำกิจกรรมบนเวที กล้าพูด กล้าคุย มีความมั่นใจในตัวเอง ขอให้สิ่งเหล่านั้นกลับมาอยู่ในภายในตัวเองอีกครั้ง พอได้ผ่านกระบวนการถาม ตอบ พูดคุยกับเด็กน้อยภายในแล้ว ความทุกข์ใจค่อยคลายลง ความรู้สึกอบอุ่นในใจก็กลับมาอีกครั้ง เด็กน้อยบอกว่า “เหตุการณ์ในอดีตมันผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องไปกังวลถึงสิ่งที่ขาดหายไป เธอก้าวผ่านมาได้อย่างเข้มแข็ง ฉันภาคภูมิใจในตัวเธอ เธอเป็นคนดี มีความสามารถ มีความสุข เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เราเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เราจะยืนเคียงข้างกันตลอดไป ไม่ต้องกลัวนะ…””

“แล้ววิธีการคลายทุกข์หรือการเยียวยา ในรูปแบบของพวกเรา ก็คือ “การเขียนบำบัด” ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งทำให้เราเบาใจ อาจไม่ถึงกับหมดทุกข์ แต่ก็ทำให้เราสบายใจ ผ่อนคลายความอึดอัด คับข้องในใจได้ และควรเพิ่ม การทำสมาธิ ให้จิตใจสงบ เข้าสู่จิตใต้สำนึก สามารถเยียวยาได้ลึกซึ้งมากขึ้น การเขียน ไม่ต้องรอให้พร้อมก่อน ทำโดยปราศจากข้ออ้าง ไม่ต้องสร้างมาตรฐานหรือความ perfect ออกมา เขียนเลย ทำทันที (Do it now) ฝึกเขียนบ่อย ๆ ให้เป็นนิสัย แล้วจะพบว่า “โลกแห่งการเขียน ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก””

“เห็นการเป็นของตัวเองชัดเจนมากขึ้น ต่อจากสัปดาห์แรก
รู้ถึงที่มาของการเป็นจากประสบการณ์ในอดีตผ่านการเลือกบัตรคำ
ความเชื่อ และพฤติกรรมเหล่านั้น สะสมมาโดยที่เราไม่รู้ตัว
ส่งผลในการใช้ชีวิตมาถึงปัจจุบัน
ที่เต็มไปด้วยความกลัว และกังวลตลอดเวลา
เมื่อได้พูดคุยกันเด็กน้อยภายในด้วยคำถามที่ครูให้มา
ทำให้ได้รับคำแนะนำ และทางออกที่ดีมากๆ บางทีไม่ต้องคิดให้มากมาย แค่ปล่อยความคิดออกไปแล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน เพียงเท่านี้ ก็ผ่อนคลาย ได้ดี
เห็นได้ว่าเราเองทั้งหลง ทั้งยึด อยู่กับข้างนอกเยอะมาก
การได้มีเวลาแม้เพียงเล็กน้อยกลับมาอยู่กับตัวเอง
พุดคุยกับตัวเองช่วยให้เรามีความสุขและเข้าใจตัวเองมากขึ้นค่ะ”

“หนึ่งในความเชื่อที่เลือก ก็คือ “รู้สึกอันตราย เมื่อคนอื่นโกรธใส่ ดุว่า กล่าวหาหรือปฏิเสธฉัน” เป็นสถานการณ์ที่ยังเจอบ่อย ๆ ช่วงนี้และเป็นวังวนความทุกข์อยู่เรื่อย ๆ พอได้ลองพิจารณาแล้วพบว่าเราเสพติดความสำเร็จในวัยเด็ก ทำให้ตั้งรับไม่ถูกกับสิ่งที่ผิดพลาดหรือไม่ปกติสุข มันเหมือนตอกย้ำว่าเราห่วย จึงเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น ยิ่งเขียนยิ่งเห็นว่าการเป็น super perfect girl มันทุกข์มากกว่าสุข จะอยากเป็นไปทำไมนะ มาเป็น relax girl ที่พร้อมเรียนรู้โลกใบนี้ จัดการสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ในแต่ละวัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ตอนได้ฟังดนตรีแล้วเขียนไปด้วย เห็นความสุขอีกหลายช่องทางที่จะนำพาตัวเองไปเจอ ปล.ตอนวาด “ตัวตน” อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเราเหมือนยาย คนในครอบครัวที่ฉันตั้งแง่ด้วยมากที่สุดคนหนึ่ง ตกใจและตลกดี เขาจากไปแล้ว แต่ยังอยู่ในตัวเรา แปลกใจมาก ๆ ค่ะ”

“การสนทนากับเด็กน้อยภายใน ทำให้ได้นึกถึงความรู้สึกของตัวเองในวัยเด็ก การที่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแม่ที่จากไปตั้งแต่ 6 ขวบ (จากการเล่าของคนอื่นที่เราได้ฟังตอนโต) ว่าเขาเป็นคนที่พิเศษอย่างไร และแม่รักเด็กน้อยมากเพียงใด ให้เด็กน้อยในตัวเราฟังเชื่อว่าเป็นการเติมเต็มความอบอุ่นและความรู้สึกดีให้กับเขาได้ ซึ่งส่งผลมาให้กับตัวเราด้วย
การที่ได้ระลึกถึงความกล้า และอยากที่จะทดลองสิ่งต่างๆ ในช่วงวัยเด็ก ทำให้เราเข้าใจว่า พอโตมาแล้วเราลืมไปว่า การจะเริ่มอะไรสักอย่างมันง่ายยังไง พอโตมาแล้วก็จะเต็มไปด้วยความกลัวจากประสบการณ์ที่ผ่านมา การได้ list ความต้องการในวัยเด็ก ทำให้ระลึกได้ถึงปมในวัยเด็กที่มันกระเทือนใจเราในตอนนั้นแต่ว่าลืมไปแล้ว การที่ได้เห็นปมนี้ทำให้เข้าใจปัญหาชีวิตในตอนนี้ มาจาก ปัญหาในใจตอนนั้นที่ไม่ได้รับการแก้ไข จนโตมาเกิดเป็นกำแพงปิดกั้นสิ่งดีๆที่เข้ามาตอนโตเป็นผู้ใหญ่ การได้วาดภาพว่าเราตอนโตช่วยเยียวยาเด็กน้อยในตอนนั้นจึงช่วยเยียวยาตัวฉันในวันนี้ได้จริงๆค่ะ ขอบคุณครูโอเล่ที่ช่วยชุดประกายให้เกิดการเยียวยาในทุกบทเรียนนะคะ”

“เป็นคนวิตกกังวลง่าย คิดนู่นนี่ไปเรื่อย บางทีชอบหนีปัญหา เพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย พอเป็นมากๆเข้ากระทบต่อร่างกายแบบที่คุณครูบอกเลยค่ะ ชอบคำที่คุณครูพูดว่า “กลัวการเปียกปอน แล้วมันแย่จริงหรือ” ทำให้กลับมาฉุกคิดว่า เออ มันแย่จริงหรือเปล่า และได้ทบทวนความเชื่อที่มันบิดเบี้ยวว่า มันใช่จริงๆรึเปล่า การที่ได้เรียนคืนนี้ทำให้เรารู้จักตัวตนลงไปอีกขั้นนึง อาจเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุกความคิดที่มันฟุ้งซ่านไปเรื่อย ให้กับมาอยู่กับตัวตนจริงๆของเรามากขึ้นค่ะ”

“เด็กน้อยภายในบอกว่า ให้พักบ้างได้แล้ว ให้ปล่อยตัวเองเป็นอิสระสักที ทำตามความคิดและสิ่งที่ต้องการบ้าง อย่ารู้สึกผิด และให้จดจำรอยยิ้มและความสุขในวัยเด็ก แล้วนำมันมาใช้ ให้ตัวเองได้สัมผัส รอยยิ้มเสียงหัวเราะของตัวเองแบบวัยเด็กอีกครั้ง ชีวิตที่ผ่านมา ฉันมักจะผูกติดอยู่กับผู้คนรอบข้างตัวฉันเสมอ จนไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉันได้ปลดปล่อยความคิดแบบนั้น เพราะเหมือนได้ทบทวนตัวเอง และอนุญาตให้ตัวเอง ได้ทำและได้เป็นในแบบที่ต้องการ ยืดหยุ่นมากขึ้น อิสระมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น เลือก ที่จะรักทุกคนในแบบเดิม แต่ ก็จะเลือก รักตัวเอง และเลือก ความสุขให้กับตัวเองด้วย แบบไม่ต้องรู้สึกผิด”

“ได้เห็นความฝันเล็กๆที่อยู่ในใจที่เคยหลงลืมไปว่าเคยอยากทำ เพราะมัวแต่กลัวและกังวลกับทุกๆอย่าง สนใจแต่เสียงโลกภายนอกที่ต้องคอยวิ่งตาม และจากการเขียนสลับมือ ได้ข้อความจากเด็กน้อยภายใน ว่า “อย่าให้ความกลัวทำให้พี่ไม่กล้าลงมือทำ ขอให้มีความสุข สนุกไปกับการลงมือทำในทุกๆอย่าง เพราะตอนพี่เป็นหนูตอนเด็กๆ พี่ไม่เคยกลัวอะไรเลย มีแต่รอยยิ้มและความสดใส พี่มองโลกนี้สวยงามมากๆ ตื่นเต้นไปกับทุกอย่าง เจออะไรก็อยากลองอยากทำไปหมด ขอให้พี่ไม่ลืมความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นไปนะ””

“เธออย่าหมดศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในเสียงภายใน แม้บางครั้งเธอต้องสู้กับความไม่รู้ แต่ก็ขอให้เธอวางใจ ว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเหมือนทุกครั้งที่เธอเคยผ่านมา”

“การลงมือทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่เคยทำมาก่อน ด้วยใจเบา ๆ ลดความกลัว ความคาดหวัง และยอมให้ตัวเอง ผิดบ้าง พลาดบ้าง เปราะบางบ้าง ไม่ต้องเป๊ะ ไม่ต้อง Perfect มันน่าสนุก ง่าย ๆ มั่นใจเราทำได้ การวาดความกลัว จาก จินตนาการ ความรู้สึก ได้ปลดปล่อย มีอิสระ เพราะทุกครั้งความกลัวที่เราวาดมักไม่ได้มีอะไรน่ากล้ว นอกจากความคิดไปเองต่าง ๆ นานา แล้วปล่อยให้ความคิดนั้น ๆ และความเคยชินมีอิทธิพล เหนือ ความต้องการฝันในปัจจุบัน เรียกว่า เป็นการขี้เกียจแบบเต็มใจ อีกอย่างร่างกายเราก็เป็นสิ่งสะท้อนตัวเราเอง ที่ขาดแรงกระตุ้นที่มากพอทำให้อยากกลับมาโลดแล่นเหมือนก่อน”

“การเขียนช่วยให้กลับมาระลึกเชื่อมโยงกับความฝันในวัยเด็กที่มีอีกครั้ง ทำให้รู้สึกมีพลัง มีความหวังมากขึ้น รู้สึกถึงความไม่บังเอิญจากภาพสายรุ้งที่เลือกกับเมล็ดพันธุ์ของธาตุลม
ในช่วงทบทวนความทุกข์วัยเด็กผ่านคำถาม 4 ข้อ รู้สึกตรงมากกับปมที่ติดขัดจากวัยเด็ก ซึ่งส่งผลมาถึงปัจจุบัน และบางข้อกำลังฝึกเยียวยาตัวเองในด้านนี้อยู่พอดีค่ะ เช่น การสูญเสียคนรัก การยอมตาม ไม่เปิดเผยความคิดความรู้สึกความต้องการของตัวเอง ส่งผลให้มีความอึดอัดคับข้องในใจอยู่เสมอเพราะพูดไม่ได้ การเขียนช่วยให้เห็นแนวทางในการดูแลเด็กน้อยคนนี้มากขึ้นผ่านสัญญา 3 ข้อค่ะ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับการปกป้องความทุกข์ในวัยเด็กโดยเห็นว่ามีเสียงของคนอื่นหรือประสบการณ์เดิมเข้ามาให้พิจารณาด้วยค่ะ”