จบเดือนสอง “เขียนเปลี่ยนชีวิต” รุ่นที่ 57 (เขียนค้นตน)

 

หลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต รุ่นที่ 57 ได้ดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว ผ่านเนื้อหาที่สอง – เขียนค้นตน – การเดินทางภายในสู่การรู้จักตัวเองในหลากหลายด้านและปอกเปลือกสู่แก่นแท้ของตัวตน
.
“จริง ๆ แล้ว เราอาจมีสิ่งที่แสวงหาอยู่ในตัวเอง โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง หรือ ไม่รู้จัก ไม่ฟังเสียงภายในตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้ ผมได้เรียนรู้ ฉุกคิดมาจาก นิทาน พ่อมดแห่งออส และ การสร้างนิสัยของเรา ซึ่งมาจาก การหล่อหลอมของตัวเอง ” ผู้ปกครอง ผู้ดูแล ผู้หล่อเลี้ยง “”
.
” รู้สึกว่าเป็นการค้นตนที่มีความหมายกับตัวเองมากในสถานะการที่ยากลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ ได้พบเจอด้านการปลอบใจ ความหวัง และความอดทดกับสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ และการเยียวยาภายในของตนเอง และการเผชิญหน้ากับความจริง”
.
“ได้เปิดโลก เข้าไปค้นพบตัวตนต่างๆ ของตัวเอง ซึ่งบางตัวตน ลืมไปนานแล้วว่ายังมี ได้เห็น จิตใจตัวเอง ที่ยึดติดในตัวตน เหนียวแน่น เฉพาะบางตัวตน ที่ใช้บ่อยๆ , ไดัเห็น ความเป็นไปได้อื่นๆ ที่อยู่ภายใน คำถามสุดท้าย ตัวตน เราคืออะไร ทำเอาสะดุดและค้างไป กลับมาคิดทบทวนความเชื่อตัวเอง ว่าแต่ก่อน เคยนิยามตัวเองต่างๆ เคยยึดว่าเราต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้นที่ดี แต่จริงๆ ตัวตนคืออะไร ข้างในหัวโขน คือ เราจริงหรือเปล่า”
.
“ทำให้เห็นถึงความต้องการและแง่มุมที่เรายังสามารถพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นได้อีกมาก โดยไม่ยึดติดแค่กับตัวตนที่เราคุ้นเคย และแหล่งความรู้ที่ลึกมากที่สุดคือตัวเราเองที่เราจะต้องพาใจกลับบ้านเพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ลึกมากกว่าแสวงหาคำตอบจากภายนอก”
.
“รู้สึกว่าในตัวของเรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องค้นตนว่าเรามีอะไรที่ติดค้างในตัวเองไม่ว่าเรื่องราวชีวิตในอดีตที่ส่งผลมาชีวิต ปัจจุบันที่เรายังมีความรู้สึกว่ามันติดอยู่ไม่หมดจากชีวิตความที่ถูกทิ้งจากครอบครัวพ่อแม่คนรักเพื่อนมันเลยส่งผลกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตไม่ว่าความรักความสัมพันธ์การเงินครอบครัวแต่รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่ได้เข้ามาเรียนกับคอร์สนี้มันทำให้ได้เปิดใจคุยกับคนข้างในหลายอย่างที่เราคิดว่าเคยเคลียร์ไปหมดแล้วแต่มันก็ยังมีค้างคาใจอยู่หลายอย่างที่ต้องเคลียร์ออกไปค่ะ”
.
“ช่วยให้เห็นทางข้ามพ้นอุปสรรคที่เจอไปได้ และรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าจะทำความฝันให้สำเร็จ ช่วยให้เกิดการตัดสินใจบางอย่างที่สำคัญและลังเลอยู่ได้พอดีจังหวะเวลาค่ะ ทำให้ได้เห็นว่าถ้าเราใช้อีกตัวตนนึง จะช่วยให้ชีวิตเราก้าวหน้าบนเส้นทางฝันได้ยังไงค่ะ”
.
“รู้สึกดีมากๆ ที่ได้รู้จักตัวตนที่เราลืมไปแล้วว่าเรามีอยู่ ว่าเราทำได้ ได้เห็นตัวเองอีกด้าน ที่เราคิดว่า เราไม่มีความสามารถที่จะทำได้หรือเราลืมไปแล้วว่าเราเคยทำได้ หรือเราไม่มั่นใจว่าทำได้จริง เพิ่งเห็นตัวเองว่า มีความเป็นผู้ชาย มากกว่าความเป็นผู้หญิง ทำให้เรามีความแข็งเกินไป จนบางทีไม่มีความอ่อนหวาน หรืออ่อนโยน รู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้เรียนวิชานี้ ขอบคุณครูมากที่ครูได้จัดกิจกรรมและถ่ายทอดความรู้ให้กับทุกคน อยากให้ทุกคนได้มาเรียนรู้กันให้เยอะๆ จะได้ค้นพบตัวเองให้ตัวเองมีความสุขค่ะ”
.
“คำแรกที่ขึ้นมาคือ “รู้เท่าทันตนเองในปัจจุบัน“ รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร โดยไม่ยึดติดยึดมั่นว่าเราเป็นแบบนี้แบบนั้น ไม่จำกัดความเป็นตัวเอง ไม่ใส่ฟิลเตอร์ค่ะ เราอาจจะมีหลายตัวตนในคนเดียวกัน และเราเลือกใช้ตัวตนให้เหมาะกับสถานการณ์ตรงหน้าแบบที่ใจเราคิดว่าปลอดภัย”
.
“ชอบตอนจับไพ่แล้วเขียนไม่หยุดปากกาค่ะ เพราะการ์ดเหล่านี้เป็นตัวแม่แบบด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งทำให้ทราบว่าคนคนหนึ่งนั้นมีลักษณะนิสัยบุคลิกหลายด้านค่ะ ทำให้เข้าใจตนเองมากขึ้นรู้ว่าเราต้องการทำสิ่งใด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทราบว่าเราก็มีหลายตัวตนในคนเดียวกัน เช่น บางตัวตนก็ต้องการความรัก บางตัวตนก็ต้องการความมั่นคง บางตัวตนก็ต้องการเยียวยา ฯลฯ”
.
“มีความสุขทุกครั้งที่เข้าเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน ครูมีเทคนิคใหม่ๆมาสอนเสมอและสนุกในการเรียนรู้ค่ะ ได้เห็น ได้มอง ได้ฟัง ได้คุย กับตัวตนต่างๆที่อยู่ภายใน ได้รับรู้ความต้องการ ความคิด ความรู้สึกของตัวตนเหล่านั้น ก็ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าในเหตุการณ์นั้นๆ มีเบื้องหลังอะไร ทำไมเราถึงคิด พูด ทำ ไปแบบนั้น”
.
“ได้ข้อคิดว่าหากเราไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ปล่อยมือ ไม่ให้อภัยด้วยตัวเองใครจะมาปลดปล่อยเรา มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำได้”
.
“ได้เครื่องมือที่เข้าหาตัวตนข้างใน อีกรูปแบบหนึ่ง ยอมรับตัวเองในทุกๆด้านทั้งดีและไม่ดี มีความทุกข์ ก็ยอมรับ เราสามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองมีความสุข เรียนรู้จักตัวตนที่แท้จริง ไม่ต้องเหมือนใคร”
.
“รู้สึกขอบคุณผู้จัดที่มีคอร์สสอนที่ไม่ได้บังคับให้เรียน แต่คนเรียนรู้สึกว่าต้องกระตือรือร้นเอง บางทีเราก็ต้องการขอบเขตเพื่อให้เราได้หยุดหายใจและไตร่ตรองชีวิตของตัวเอง สิ่งสำคัญที่ได้ค้นพบ รู้จักตนเองคือ เรานึกว่าเราอ่อนโยนแต่จริงแล้วเรามีความเป็นเพศชายสูงกว่าที่เราคิด ได้ขัดเกลาภาพตัวเองที่เข้าใจผิดมาตลอด ขณะเดียวกันก็ไม่ได้กล่าวโทษ แต่โอบรับมันไว้ด้วยความขอบคุณ เราคิดว่าเราเป็นคนแบบนั้นแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนไม่ได้ จริงแล้วมันอาจจะเป็นแค่ความคิดของเรา…ที่สร้างกรอบครอบตัวเองไว้ ทำให้empowerเหมือนกันที่จะคิดแบบนี้…ดีค่ะ”
.
“แรก ๆ ยังงงว่า เราจะเขียนอะไรดี เพราะความรู้สึกที่ได้เรียนมันก็ใกล้ๆ กัน เหมือน ๆ กัน แต่ก็รู้สึกแปลกใหม่ตรงที่ว่า เราใช้ชีวิตไปตาม routine หรือ ชีวิตประจำวันตามปกติ จนเราเองไม่ทั่นได้สังเกตว่า ในการกระทำหรือรับมือกับเกตุการณ์ต่าง ๆ ของตัวเรานั้นมันมีความแตกต่างกันออกไป และรู้สึกแปลกใจตรงที่ว่า พอได้ตระหนัก เราก็รู้สึกว่า เออใช่ เราเองจริง ๆ แล้ว มีตัวตนอีก ด้านหนึ่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เคยได้ตระหนัก ค้นพบ หรือสังเกต”
.
“สิ่งสำคัญที่ได้ค้นตน คือ เราได้รู้จักปีศาจในตัวเรา มันดีมาก เพราะจากการเรียน เราได้เรียนรู้ว่า เราสามารถ รักปีศาจในตัวเราได้ แม้เมื่อฟังชื่อจะรู้สึกว่ามันคือ dark side มันคือสิ่งไม่ดี แต่การที่เรามี dark side อยู่ในตัว มัน ช่วยให้เราเอาตัวรอดจากสถานการณ์บางอย่างที่ ด้านดีๆ ในตัวเราทำไม่ได้ และจริง ๆ แล้ว การที่คนเราจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เราต้องประนีประนอมกันระหว่างตัวตนต่าง ๆ ในตัวเรา เพื่อที่จะให้เรามีความสุข ความสงบเพราะแม้แต่ตัวร้ายเองก็ต้องการความสงบเหมือนกัน ไม่มีใครต้องการความว้าวุ่นใจ หรือ เหมือนต้องทำสงครามอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราเลี้ยงไม่ได้ เราแค่ต้องรู้ว่า ตอนไหนเราจะดึงเอาตัวตนด้านไหนของเรามาใช้ นอกจากนี้เนื้อหา ที่เราประทับใจมากและแม้ว่าจะฟังครูเพียงไม่กี่นาที แต่กลับติดตัวจนเราเอามาใช้ตลอด คือ คำถามต่าง ๆ ที่ครูให้เราลองสังเกตตัวเอง ในหลาย ๆ สถานการณ์ เราสังเกตตัวเองตลอดเลย เพราะวันหนึ่ง ๆ เราเจอหลายสถานการณ์มาก… เหล่านี้เป็นคำถามที่ดีมาก มันทำให้เราได้มีสติ สังเกตตัวเอง อยู่กับตัวเองว่า ตอนนี้ ณ ขณะนี้ เรากำลังเป็นด้านใด เอาด้านในขึ้นมาใช้ เราสังเกตและจับความรู้สึก รู้เท่าทันตัวเอง ซึ่งเป็นเหมือนการระวังและตระหนักในตัวเองได้ดีมาก เราชอบมากค่ะ ”
.
“เราสามารถรักและโอบกอดตัวเองในทุกมิติ ในทุกตัวตนของเราได้เพราะทุกด้านของเรามันก็คอยช่วยเหลือและหล่อหลอมเราให้สามารถกำรงชีวิตอยู่ได้ เพียงแต่เราต้องคอยปรับสมดุลให้ทุกด้านมันพอเหมาะเพื่อให้ชีวิตได้บรรลุสิ่งที่เรียกว่า ความสุข โดยไม่เดือดร้อนใคร”
.
“แปลกใหม่ ดีใจและประหลาดใจที่การเขียนช่วยให้ค้นพบตัวตนที่หลากหลายที่อยู่ในตัวเราค่ะ สุดท้ายขอบคุณคุณครูมากนะคะ ได้รู้จักว่าตัวเองเป็นคนสนุกสนาน พอได้อยู่ในกลุ่มหรือสังคมที่ไม่สนุกหรือมีเพื่อนที่ไม่สนิทใจเรารู้สึกไม่ได้เป็นตัวเอง อาจมีความทุกข์เกิดขึ้นได้ อีกทั้งเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเราอาจจะเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป เราทุกคนล้วนแตกต่างกันอาจจะต้องใช้เวลาในการยอมรับสิ่งนี้ ทั้งยังค้นพบว่าเราสามารถเป็นได้มากกว่านี้เราอาจจะจำกัดกรอบตัวเองมากเกินไป โดยเฉพาะคืนสุดท้ายทำให้เห็นว่าเราสามารถเป็นอีกคนได้ เราอาจจะไม่ค่อยได้ใช้ถ้าเราใช้มันมากขึ้นสิ่งนั้นที่เราอยากมีอยากเป็นมันก็จะเปล่งประกายออกมาค่ะ”
.
“ได้เห็นตัวตนทุกอย่างที่มีภายในตัวเรา สิ่งสำคัญที่ได้ค้นตน/รู้จักตัวเองได้แก่เห็นนิสัย ข้อดี ข้อเสียที่เรามีอยู่ แต่เรามองข้าม และหลงลืมไป เห็นความรักของจิตที่เปรียบเหมือนพ่อแม่ที่ทำหน้าที่ ปกป้อง สอนสั่ง และหล่อเลี้ยง ที่บางครั้งก็ขาดสมดุล ”
.
“สำหรับการเรียนในเนื้อหา “เขียนค้นตน” รู้สึกว่าได้ทบทวนตนเองลึกซึ้งมากขึ้น ได้ค้นหาแก่นแท้ของตนเองผ่านเทคนิคการเขียน เช่น การเขียนปรับกิริยา จากการฟังดนตรี, การเขียนสนทนาสลับมือ เพื่อเชื่อมโยงตัวตนที่อยู่ข้างใน หรือการสนทนากับตัวเองในมุมมองอีกด้านของตนเอง ด้วยหัวข้อสนทนากับเงามืดภายใน และการสนทนากับตัวเองในอีก Timeline หนึ่ง เทคนิคที่ได้ฝึกทำให้สัมผัสถึงความมีอัตตาตัวตน ความยึดมั่น ถือมั่นในตนเอง”
.
“ช่วงต้นมีความยาก คงยากในการเข้ามาค้นหาตัวเองภายในซึ่งปกติไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก แต่เมื่อเรียนผ่านไป ก็มีความสนุกสนาน ชอบวิธีการที่ครูสอน มีการเปิดไพ่ต่างๆ และมีการเชื่อมโยง นิทาน กับการเรียนการสอนสนุกค่ะ ฉันยังได้เห็นตัวตน อีกหลายตัวตน ที่ฉันหลงลืมหรือมองข้ามไป และไม่ค่อยได้ใส่ใจ เพื่อที่จะ นามตัวตนนั้นขึ้นมาเติมเต็มตัวฉันมากขึ้น”
.
“ทำให้เข้าใจว่า การตัดสินใจในเรื่องต่างๆของเรามีพื้นฐานมาจากอะไรบ้าง และจริงๆแล้วเรามีกรอบความคิดที่ทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งต่างๆอยู่เยอะมาก ตัวตนที่เรารู้จักเป็นแค่ส่วนน้อยจากตัวตนที่เป็นไปได้ของเรา และเราสามารถเป็นอะไรก็ได้แค่เรา focus กับมันมากพอ”
.
“อย่าพึ่งด่วนตัดสินว่าตัวเองเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะว่าหากได้ลองประสบการณ์ใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ออกจากความเคยชินเดิมๆ พื้นทีการรับรู้ของเราก็จะเปิดกว้างขึ้นและทำให้เราได้เห็นตัวตนด้านอื่นๆของเราที่เราไม่เคยนึกถึง บางอย่างที่เราเคยคิดว่าเราทำไม่ได้ จริงๆแล้วอาจเป็นเพราะเราไม่เคยเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำก็ได้”
.
” รู้สึกสนุกที่ได้พูดคุยกับตัวตนรองที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวตนหลัก สิ่งสำคัญที่ได้ค้นตน/รู้จักตัวเองคือการค้นพบตัวตนรอง เปิดโอกาสให้เค้าได้ออกมา ฟังเสียงของเค้า และรับฟังเค้า ใช้เค้าในบางสถานการณ์ ข้อคิดจากการเรียนในเนื้อหานี้คือ ทำให้เราหยุดเพื่อฟังเสียงของตัวตนต่าง ๆ ของเรา ได้สนทนากับแต่ละตัวตน ยอมรับและยอมให้เค้าปรากฏขึ้นมา”
.
“ไม่มีตัวตนที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีตัวตนใดที่แย่ที่สุด มีเพียงตัวตนที่ต้องได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น การได้คุยกับตัวเองอย่างแท้จริงผ่านการเขียนในรูปแบบต่างๆ ล้วนได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมา แม้ว่าช่วงแรกอาจจะเขียนแล้ว งง สับสน แต่หากยังดำรงการเขียนต่อไป จะเกิดตวามชัดเจนขึ้นภายในตัวเรา”
.
“ตอนแรกรู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่กับคนแปลกหน้า บางสิ่งไม่กล้าเขียนไม่กล้าตอบตัวเองลงไป ลังเล กลัวผิด แต่เมื่อได้เขียนได้ระบาย รู้สึกเบา สบาย ขึ้น ปลอดโปร่งใจ รู้ถึงความรู้สึกของตนเองมีบางมุมที่อาจเก็บซ่อนเป็นมุมมืด ได้ถูกเปิดออกมา ด้านที่ไม่เคยยอมรับตนเอง ค่อยๆเปิดออกมา กล้าเผชิญ เกิดการยอมรับและรับมือได้ เกิดความเชื่อมั่น กล้าตัดสินใจ ในบางอย่างที่ค้างใจมานาน ยอมรับเคารพ เชื่อมั่นตัวเอง มากขึ้น”
.
“ดีใจที่ได้เข้าเรียนเหมือนเป็นเวลาที่เหมาะเจาะกับจังหวะของชีวิตที่ได้นำมาใช้แก้ปัญหาอย่างทันท่วงทีทำให้ปัญหาและความทุกข์ที่เกิดจากปัญหานั้นเบาบางลง… ได้จากกิจกรรมสุดท้ายมากที่สุดเพราะได้นำข้อความนี้มาใช้กับชีวิตทันที “ ฉันเรียบง่ายเพราะฉันวางใจในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน ปล่อยวางในตอนเย็นและเริ่มใหม่ในตอนเช้า” อีกเรื่องหนึ่งคือเกิดจากคำถามของครูที่ว่า “ เราเพียงหยิบหัวโขนแต่ละอันมาสวมไว้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงสามารถเป็นอะไรก็ได้ แต่ใครเล่าที่อยู่ใต้หัวโขนนั้น” เลยเฝ้าครุ่นคิดตอบคำถามนี้และได้คำตอบ (สำหรับตอนนี้) ว่าไม่มีใครหรืออะไรใต้หัวโขนนั้น เพราะเดิมทีก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเราต้องทำหน้าที่บนโลกจึงต้องนำหัวโขนมาสวมใส่เพื่อให้เกิดตัวตนขึ้น เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตและทำหน้าที่ความเป็นมนุษย์ หากถอดหัวโขนออกก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวตน ไม่มีนิยาม พอนึกถึงตรงนี้ก็ทำให้คิดถึง “เต๋า” ที่เคยอ่านจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง”
.
“รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วในตัวเรามีความเป็นตัวตนในแบบอื่นซ่อนอยู่มากมาย แต่ด้วยความเคยชินทำให้เราเชื่อมั่นมาตลอดว่า เราเป็นคนแบบนั้นแบบนี้
เมื่อได้เข้าเรียนในแต่ละสัปดาห์ เหมือนได้ฝึกสมาธิให้มาอยู่กับตัวเอง ได้ทำความรู้จักและทบทวนความเป็นตัวตนของเรา ทำให้รู้สึกเหมือนได้คุยกับตัวเองผ่านกระจกวิเศษ ที่ทำให้เราเห็นตัวตนที่เราไม่รู้จักในอีกมุมหนึ่งที่ซ่อนอยู่ภายในโดยที่เราไม่เคยนึกถึงเค้ามาก่อนเลย และรู้สึกขอบคุณและหลงรักตัวตนที่ไม่รู้จักนี้ ที่มาช่วยทำให้เราได้มีโอกาสสำรวจและทบทวนตัวเรา และให้ข้อคิดกับเราในการนำข้อดีของอีกตัวตนมาใช้ให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น”
.
“การที่เราได้สื่อสารกับอีกตัวตนที่เราไม่รู้จัก เหมือนกับว่า ที่ผ่านมาเราซ่อนเค้าไว้ด้วยความเคยชิน แต่เมื่อเราเปิดใจให้เค้าได้ออกมาคุยกับเรา ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ยอมรับความเป็นตัวตนในอีกแง่มุมนึง และทำให้เราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตัวเราว่า แท้จริงแล้ว เราสามารถเป็นตัวตนในอีกแบบนึงได้ถึงแม้ว่าเราจะเลือกทางเดินชีวิตในแบบนี้ก็ตาม ค้นพบว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ เราสามารถมีความสุขกับเส้นทางที่เราเลือกเดินได้แค่ลองมองต่างมุมเข้าไปให้ถึงตัวตนอีกด้านที่ซ่อนอยู่ การเขียนโต้ตอบไปมากับตัวเอง เป็นการสำรวจตัวเองเพื่อให้เชื่อมโยงไปถึงอีกตัวตนที่อยู่ภายในตัวเรา ได้ทำความรู้จักและเรียนรู้ในด้านที่เราไม่คุ้นเคย เช่น เมื่อก่อนเราไม่เคยหันกลับมาดูตัวเองเลยว่า เรามีตัวตนของความเป็นเพศตรงข้ามที่ซ่อนอยู่ด้วย พอได้คุยกับเค้า ตัวตนด้านนั้นก็มีข้อดีที่อยากให้เรานำไปใช้เพื่อให้ชีวิตเรามีความสมดุลมากขึ้น และการได้สำรวจความเป็นพ่อแม่ภายใน ทำให้รู้ว่า ที่ผ่านมาเราแสดงตัวตนในบทบาทใด และเราหลงลืมบทบาทใดไปบ้าง การสนทนาผ่านตัวตนนี้ช่วยเตือนใจเราว่า เราควรนำตัวตนแบบอื่นที่ซ่อนอยู่มาปรับใช้ให้พอดี ไม่มากไป ไม่น้อยเกินไป”
.
“เวลาที่เรารู้สึกต่อตัวเองว่าแย่ มันก็ไม่ได่แย่อย่างที่คิด เช่น ตอนจับไพ่ได้คำว่าขี้ขลาด ก็สะดุ้งเหมือนกันค่ะ แต่พอได้พิจารณา ก็ทำให้เราได้รู้ว่า ความขี้ขลาดของเรา ทำให้เราสูญเสียบางอย่างก็จริง แต่มันก็ทำให้เราบรรลุเป้าประสงค์บางอย่างด้วยเหมือนกัน และเหตุที่เราเลือกจะขี้ขลาดแบบนั้น เพราะเราเองก็ต้องการอะไรบางอย่าง และกลัวว่าจะสูญเสียบางด้วย ซึ่งสิ่งนั้นสำคัญกว่าสิ่งที่เราจะได้รับจากความกล้า / ได้รู้ว่าใช้ความพยายามกับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองน้อยไป เพราะมัวแต่โฟกัสและพยายามที่จะทำเพื่อผู้อื่น , ต้องให้ความสำคัญกับตัวเองให้มากกว่าที่เป็น , เป็นคนที่่มักคิดวนๆไป ไม่หาทางออก ย้ำคิดย้ำทำ , ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่อยากถูกว่า ว่าผิด , ได้ให้อภัยตัวเอง ในสิ่งที่ไม่มีใครกล่าวโทษ แต่เราดันทุรังที่จะโทษตัวเอง”
.
“เดือนนี้ใช้พลังค่อนข้างมาก​ เข้ามานั่งเรียนแบบรีบๆ​ ก็หลายครั้ง​ บางคืนนอนหลับไปช่วงท้ายๆ​ บทเรียนก็มีค่ะ​ แหะๆ​ เพราะว่าเหนื่อย​ แต่สังเกตว่าตัวเองนอนหลับสนิทขึ้นกว่าเดิมมาก​ พร้อมตื่นมาด้วยความสดชื่นตั้งแต่ฝึกใช้เครื่องมือการเขียนรูป​แบบต่างๆ รู้​สึกขอบคุณ​ตัวเองที่ยังมี​ชีวิต​อยู่​มาจนถึงวันนี้​ ได้มีโอกาสเติบโตเรียนรู้แบบก้าวกระโดดในหลายเรื่อง​ และได้​เป็นตัวเองในเวอร์​ชั่นที่ดีที่สุด –ได้เห็นแนวทางในการพั​ฒนาตัวเอง​ และดูแลตัวเองต่อไปเพื่อให้เกิดความ​สมดุ​ลพอดี”
.
“ได้รู้จักข้อดี ข้อเสียของตัวเองบางส่วนและทำให้มองย้อนไปว่าเราเคยมองคนบางคนในมุมหนึ่ง เขาเองก็คงมองเราในมุมหนึ่งเหมือนกัน ได้รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง นำไปพัฒนาต่อได้ จากการเรียนอย่างต่อเนื่องในแต่ละคอร์สที่ผ่านมาทำให้ได้อะไรใหม่ให้กับตัวเองนำไปต่อยอดด้านอาชีพเสริมได้เช่นได้แนวคิดการทำไพ่ ทำคลิปเกี่ยวกับอาหาร เรียนเย็บลูกปัดหลังจากเรียนทำให้การคิดเป็นระบบมากขึ้นชีวิตเป็นระเบียบมากขึ้นค่ะ ยังมีบางวันที่ยังดิ่งอยู่เวลาที่เจอเรื่องหลายอย่างมากระทบ แต่เข้าใจได้ดีขึ้นว่าเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวอยู่ตรงนั้นสักพักแล้วมันก็หายไป การเขียนโดยให้มือขวากับมือซ้ายคุยกัน ทำให้เจอเพื่อนที่อยูในตัวเอง ก่อนนี้เคยคุยแต่เป็นความคิดฟุ้งมากกว่าค่ะ หลังจากเขียนออกมาทำให้รู้ถึงความคิดที่บลอคเราไว้จนทำงานไม่ได้คือมองว่าคนอื่นเก่ง เปรียบเทียบกับคนอื่น รู้สาเหตุนิสัยบางอย่างที่มาจากการเลี้ยงดู ซึ่งพ่อแม่ก็ทำเพื่อปกป้องและต้องการให้เราปลอดภัย เขาเองก็พยายามทำดีที่สุดในข้อจำกัดที่ทำได้”
.
“รู้ว่าตนเองมีด้านที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญมาก ๆ รู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เราติดอยู่คือ ความกลัว ว่าคนอื่นจะมองไม่ดี จะไม่เข้าพวก จะถูกอิจฉา/นินทาเลยไม่กล้าลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ รู้ว่าเราก็มีมุมที่อ่อนไหว/อ่อนโยน สมควรได้รับการดูแล ทะนุทะถนอม รู้ว่าเรามีกรอบความเชื่อที่ไม่สมจริงบางอย่างที่เอามาตีกรอบตัวเองจนเราเครียดไปเอง ไม่ควรเอาเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งมาตีกรอบการเป็นของตัวเองเพราะจริง ๆ แล้วเราทำสามารถได้มากกว่านั้นและเรามีอิสระในการเลือกเสมอ”
.
“หันมารักตัวเองมากขึ้น คุยกับตัวเองมากขึ้น และคุยเยอะขึ้นจนไม่สามารถเขียนอะไรสั้นๆ ได้อีกต่อไป 555555 ต้องบอกก่อนว่าตอนมัธยมชอบเขียนคุยกับตัวเองเป็นไดอารี่ แต่มีคนมาแอบอ่าน ทำให้เข็ด เมื่อตัวตนของเราโดนข้ามเส้นโดยที่เราไม่ได้อนุญาติ เลยไม่เขียนไดอารี่อีกเลย ทิ้งตัวเองในวันนั้นมานานมากค่ะ (ทิ้งเพราะคนอื่น มันน่าเขกหัวตัวเองอีกครั้งจริงๆ) จนมาเจอคอร์สนี้ วันแรกที่เข้าเรียน รู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่เราไม่ได้คุยกันมานาน เราแค่นั่งข้างๆ กันในความเงียบ พอเข้าเรียนเรื่อยๆ เราคุยกันเยอะขึ้น เยอะแบบเสียงคนอื่นเบา…แปลว่าได้ยินเสียงภายในใจเราชัดเจนขึ้น”
.
” รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ทุกแง่มุมที่เราเป็น เรารักตัวเองทั้งนั้น เราก็จะรักเขาและพาเขาก้าวเดินไปกับเราอย่างมีความสุขค่ะ เดิมมีปมเรื่องการตัดสินใจในอดีต การเรียนครั้งนี้ทำให้ได้พบความเชื่อมั่นที่จะหยิบยกบางสิ่งที่เราทิ้งไป กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน แบบที่ไม่ใช่แค่การหวนนึกถึงและจมกับความเสียดายเหล่านั้น แต่เป็นการค้นพบตัวตนของเราที่จะดียิ่งขึ้นได้ เรารู้สึกว่าอันนี้เป็นพาร์ทที่สำคัญและมีความหมายกับเรามากเลย คลาสนี้ทำให้ได้เรียนรู้ความหลากหลายในตัวตนของเราเอง แล้วยอมรับมัน ไม่ต่อต้านหรือยึดติดกับมัน รู้สึกรักตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหนก็ตามค่ะ”
.
“ได้พบว่าตัวตนของเรานั้นมันมีความไม่สิ้นสุดจริงๆค่ะมันมีความเป็นอนิจจัง เราเคยคิดว่า เราไม่เหมือนคนอื่นเราเคยคิดว่าบางอย่างมีเราไปอยู่คนเดียวแต่มันไม่ใช่เลยค่ะแต่การแชร์ในคลาสพบว่าทุกคนต่างก็มีส่วนที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันบางอย่างเราคิดว่าห่างไกลจากสิ่งเราเป็นมากๆ แต่บางอารมณ์ บางสถานการณ์เราก็เป็นแบบนั้นโดยไม่สังเกตมาก่อนจนกระทั่งได้เข้าเรียนครั้งนี้นี่แหละค่ะ หลังจากเข้าเรียนเกือบทุกครั้งแล้วทบทวนประเด็นนี้เราพบว่ามันจริงอย่างที่ครูโอเล่ได้สอนเลยค่ะ การมีคำถามสำคัญกว่าการยึดมั่นในคำตอบการยึดมั่นว่าเราเป็นคนแบบไหนทำอะไรได้ทำอะไรไม่ได้ หลายครั้งกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาตัวเราเอง บางครั้งก็นำพาเราตัดสินคนอื่นด้วย พอพบว่ากระทั่งภายในของเรายังมีเรื่องให้ค้นเจอใหม่มากมาย นั่นก็แสดงว่าเรื่องอื่นๆ ก็คงเป็นแบบเดียวกันค่ะ การเรียนรู้เป็นเรื่องที่ไม่สิ้นสุดจริงๆ”
.
“Part นี้รู้สึกยากกว่า Part แรกค่ะรู้สึก งง นิดหน่อยแบบกังวลว่าเราจะเขียนไม่ได้ แต่พอเรียนไปเรื่อยเรื่อยกลับรู้สึกชอบ Part นี้นะคะ เค้าทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นในมุมที่หลากหลาย และมองตัวเองได้ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ ถึงแม้ภายนอกภาพที่คนอื่นเห็นคือ ร้องไห้บ่อยร้องไห้ง่าย แต่การเขียนนี้ช่วยตอกย้ำว่าเรามีตัวตนที่เข้มแข็งอยู่ ที่สำคัญรู้สึกรักตัวเองมากขึ้นค่ะครู รักในความเป็นตัวเองในทุกตัวตนที่ค้นพบจากการเรียนค่ะ”
.
“เปิดใจยอมรับความเป็นตัวเราเรียนรู้ตัวตนที่หลากหลาย จะทำให้เรามองเห็นตัวเองชัดขึ้นและเข้าใจในตัวเรามากขึ้น จะทำให้เรารักในตัวเองมากขึ้นค่ะ ทุกตัวตนไม่ว่าดีหรือไม่ดีมีมีความสำคัญหมด เพราะมันหล่อลอมความเป็นตัวเราขึ้นมา จงโอบรับในทุกตัวตนจะเราอยู่ได้แบบมีความสุข”
.
“รู้สึกชื่นชมประทับใจในเนื้อหาและการสอนของครู สิ่งสำคัญที่ได้ค้นตนรู้จักตนเอง เป็นอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องงการค้นหาตัวตนที่เราควรจะนำมาใช้ในช่วงนี้ เกี่ยวกับตัวเรื่องของการไม่สื่อสารจนสร้างความไม่เข้าใจ ในช่วงนี้เรามีสถานการณ์ที่เป็นเรื่องความเข้าใจระหว่างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เลยเป็นการตระหนักรุ้ ว่าเรามักเรื่องไม่สื่อสาร มักจะเก็บเรื่องต่างๆไว้กับตนเอง แต่คนอื่นเขาก็อาจจะเข้าใจเราผิดได้ หรือทำให้เขาไม่ได้เข้าใจเรา”
.
“ความรู้สึกในการเรียน เหมือนเรากำลังพยายามสำรวจตัวตนลึกลงไปอีกขั้น บางสิ่งในตัวที่เราละเลย บางทีเหมือนเรามองไม่เห็น ว่าแท้จริงแล้วตัวเรามีหลาหลาย ทั้งอารมณ์ ความคิด และความรู้สึก”
.
“การยึดความเป็นฉัน ครอบงำความเป็นตัวเองไว้ ภายใต้กรอบที่คิดว่ามันปลอดภัยและดีสำหรับฉันที่สุด ไม่กล้าเดินออกนอกกรอบ เพราะความกลัว แต่พอได้เรียนแล้วเรานั่นมีศักยภาพในการเผชิญกับความเป็นจริงมากกว่าที่เราคิด โดยอาศัยตัวตนอื่นๆที่เราไม่เคยสนใจและรับรู้การมีอยู่”
.
“รู้สึกขอบคุณตนเองที่ลงเรียนคอร์สนี้ ซึ่งการเขียนเป็นสิ่งที่ไม่ถนัด และหนีมาตลอด และขอบคุณอาจารย์ที่ทำคอร์ส เหมือนการเขียนภาวนา ทำให้คนไม่ชอบเขียน สามารถเขียนอะไรก็ได้ตามโจทย์ที่ครูให้โดยไม่มีใครมาตัดสิน มีแต่คำตอบที่ถามตอบกับตนเอง และทำให้รู้ว่าจริงจริงแล้วไม่ได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริง หลายหลายเรื่องทำโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ว่าจริงจริงแล้วเรารู้สึกอย่างไร การเรียนเขียนค้นตน ทำให้ได้ทบทวน และทำความเข้าใจระหว่าง ความรู้สึก และความต้องการที่แท้จริง ”
.
“รู้สึก ได้กลับมาคุยกับตัวเอง อย่างที่ ไม่เคยคุย / หลายอย่างมีคำตอบได้ด้วยตัวเอง / รู้สึก เรา คือ ผู้กุม เลือก ชีงิตเราเองได้ค่ะ ได้ รู้ ว่า ที่เราคิดว่าเป็นเรา แท้จริงก็ไม่ใช่เราได้ และได้ฟังเสียงที่ ดังไม่สู่เสียงคุ้นชิน / ได้ฟัง น้องๆ หลายตัวตนในเรา /และได้เจอสมดุล ของการ เป็นผู้ดู ผู้ฟังทุกเสียงของตัวเราค่ะ”
.
“รู้สึกราวกับได้ปฏิบัตธรรม ทำสมาธิ ทุกคืนเพราะได้ความสงบใจ ได้ตั้งใจฟัง สนทนากับตัวเองอย่างแท้จริง อย่างที่ไม่เคยคุยกับตัวเองขนาดนี้มาก่อน ซึ่งมันดีมากๆ เพราะคนที่อยู่กับเราตลอด 24 ช.ม. คือตัวเราเอง ไม่มีใครสามารถอยู่กับเราตลอดได้เท่ากับตัวเราเองอีกแล้ว และการได้เรียนรู้เทคนิควิธีสื่อสารกับตัวเองต่างๆ วิธีการตั้งคำถาม ถามอย่างไรเพื่อให้ตัวเองได้ขุดคำตอบจากข้างในออกมาได้ จึงช่วยให้เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ได้มองเห็นความรู้สึกที่บางครั้งมันปนกันยุ่งเหยิงข้างใน ให้เห็นความรู้สึกเหล่านั้นชัดเจนขึ้น เป็นระเบียบขึ้น ส่งผลให้เรารู้สึกสงบขึ้น และมองสถานการณ์เดิมนั้น ในมุมมองใหม่ ด้วยความรู้สึกใหม่ได้ เหมือนได้เข้าไปปลดล็อคความรู้สึกค้างคาบางอย่างในใจได้ค่ะ มันดีมากๆ เลยค่ะ”
.
“สิ่งที่ได้รู้จักตัวเองคือ มาเข้าใจว่าจริงๆแล้วลึกๆเราเป็นคนไม่กล้าออกจากกรอบเพราะกังวลความปลอดภัย และการกลัวคำตัดสินจากคนอื่น ตัวตนในปัจจุบันของเราไม่ใช่ได้มาแต่เกิดอย่างเดียว แต่เราทุกคนล้วนถูกหล่อหลอมมาจากการตีความต่อสิ่งที่มากระทบ ถ้าเราโชคดีที่วันนี้ได้รู้เห็นเรื่องราวแล้ว ถ้าไม่กล้าก้าวข้ามออกมา ก็น่าเสียดายที่ได้เกิดมา”
.
“ได้เห็นตัวเองจากตัวตนที่หลากหลายภายใน เข้าใจพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้นในการ response และ react ในเหตุการณ์ต่างๆของชีวิต ได้รับรู้เสียงจากภายในที่รักเรามากๆ และมีคำตอบให้กับทุกคำถามภายในใจ ได้มองเห็นมุมมองใหม่ๆให้กับตัวเอง เราควรยอมรับและเรียนรู้ในตัวเองให้ลึกขึ้น เพื่อทำความเข้าใจเสียงต่างๆในหัวของตัวเอง และแยกแยะให้ได้ว่านั่นคือเสียงในหัว หรือเสียงของจิตเดิมแท้”
.
“แม้ว่าในตัวของเรา จะมีส่วนประกอบของตัวตนย่อยๆมากมาย ไม่ว่าเสียงจากแต่ละตัวตนจะดีหรือไม่ แต่ในความไม่สมบูรณ์แบบเหล่านั้น ก็ประกอบเป็นตัวเราที่งดงาม และไม่เหมือนใคร และการเขียนด้วยมือซ้าย สลับมือขวา ทำให้ได้รับฟังเสียงภายในของตัวเองได้ชัดขึ้น ได้เข้าใจ และได้เรียนรู้อะไรใหม่จากตัวเอง ได้ดีมากๆเลยค่ะครู”
.
“มันประหลาดใจว่าในคนเดียวกันนั้นเราสามารถเป็นเหมือนคนละขั้วกันได้ในสถานการณ์และบทบาทต่างกัน สิ่งสำคัญที่ได้ค้นตน/รู้จักตัวเองได้แก่อะไรบ้าง นิสัยแย่บางอย่าง เราก็ไม่รู้หากไม่ลองค้นลงไปจริงๆ วันนั้นจับการ์ดได้เรื่องใจแคบ สิ่งแรกที่คิดคือ จริงเหรอ? แต่พอลองทบทวนดีๆ มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของเรา แต่ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือในบางเหตุการณ์ เราเคยใจแคบจริงๆนั่นแหละ พอระลึกได้ มันก็รู้สึกดีนะคะ เราพร้อมที่จะปรับมันให้ดีขึ้น”
.
“เราเลือกที่จะเป็นตัวตนใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผู้คนที่รายล้อมเราอยู่ เรามีศักยภาพที่จะทำอะไรก็ได้ แค่ดึงตัวตนนั้นออกมาเพราะเค้ามีศักยภาพที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างเต็มที่”
.
” รู้จักตัวเองลึกขึ้น พบว่าความคิด ความรู้สึก ทุกๆเรื่องราวจะมี “ร่องรอยในใจ” ที่ซ่อนอยู่ ทำให้เราได้รู้จักตัวตนที่ไม่รู้จักมากขึ้น สนุกกับการค้นหาตนเอง มองให้ครบทุกมุม เหมือนได้คุยกับตัวเองตลอดเวลา ได้เพื่อนคู่คิดที่ดีมากๆ ได้ปลดปล่อยจุดดำในใจตัวเราเองด้วย”
.
“บางครั้งเราต้องเงียบเพื่อฟังเสียงตัวเองให้มากขึ้น ในบางเรื่องที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ จริงๆแล้วเราสามารถทำมันได้ดีด้วยซ้ำ ทำให้เรากล้าที่จะวิจารณ์ตัวเองมากขึ้น ในตัวเราเปรียบเสมือนโลกหรือสังคมอีกสังคมหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นและสามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้นลดภาวะความเครียดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น”
.
“เห็นจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง และสิ่งที่ได้เรียนรู้ผ่าน TimeLine, การเขียน ฉันอาจจะเป็นคนที่… เหมือนได้กลับไปคิดใคร่ครวญ และมองมุมต่าง ในความน่าจะเป็นอื่นๆ ที่เราไม่ได้เลือกในอดีต พร้อมคุณลักษณะที่ควรนำมาปรับปรุงตัวเองในปัจจุบัน และวิธีแก้ไขที่ควรรีบลงมือทำให้เร็วที่สุด”
.
“รู้ว่าตัวตนจริงๆของเรามีหลายด้านมากและเราก็สามารถเป็นอะไรก็ได่ที่เราเลือกหรืออยากจะเป็น”