“ลองฟังเสียงแห่งความโดดเดี่ยวด้วยหูของเธอ มองความอ้างว้างด้วยสายตาคู่นั้น นิ่งงันแต่แน่วแน่ในที รู้สึกถึงกายที่เดียวดายตอนนี้ เพื่อเราจะอยู่ด้วยกัน” . เมื่อเธอรู้สึกอ้างว้างหรือเดียวดาย อย่าเพิ่งรีบหนีหรือสู้กับความเหงานั้น เธอจะยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้น และความเหงานั้นก็จะกลายเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ที่โอบล้อมเธอไว้อย่างมืดมน สบตากับความอ้างว้างก่อน เพื่อให้เห็นตัวเธอเองที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในเงาอันมัวหม่นตรงนั้น ความเหงาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่การรีบหนีหรือสู้กับความเหงานั้นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ลองฟังเสียงรอบๆ ตัวเธออย่างที่เป็นจริง มันเลวร้ายและกัดกินใจจริงๆ หรือไม่ ลองมองไปรอบๆ กาย มองดูความอ้างว้างให้เห็นกับตา มันมืดมนจริงๆ หรือเธอเลือกอยู่ในมุมที่แสงสลัวเกินไป ช้าลงและกลับมาหาคนที่เธอกำลังจะทอดทิ้งเขาไปอีกครั้ง ร่างกายที่อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างหัวใจอยู่เสมอ เขาอยู่ตรงนี้ไม่คิดทิ้งไปไหน แค่กลับมารู้สึกถึงเขา รู้สึกถึงร่างกายที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเธออยู่กับเขาอย่างแท้จริง เธอก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ในห้วงเวลาที่ใจของเธอได้กลับมาอยู่กับตนเอง นิ่งงันแต่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว การเผชิญกับความเหงาทำให้เธอเห็นความกล้าหาญของตนเอง ไม่มีสิ่งใดที่เธอต้องหนีหรือสู้อีกต่อไปแล้ว ในห้วงเวลานี้เองที่เธอกำลังเป็นหนึ่งเดียวทั้งกายและใจ และเธอก็กำลังเป็นหนึ่งเดียวกับเรา-ผู้คนอีกมากมายที่กำลังพาใจกลับมาอยู่กับความว่างเปล่าอย่างสงบและกล้าหาญ ความเงียบสงบที่เหมือนเดียวดายนี้ จริงๆ แล้วคือชุมชนที่กว้างใหญ่ ชุมชนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญที่เราแต่ละคนได้กลับมามอบให้กับตนเอง และเธอก็กำลังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้ ด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยวมากขึ้น เมื่อเธอไม่พยายามหนีหรือสู้กับความเหงา สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว แต่สิ่งนี้กำลังถักทอสายใยที่เชื่อมโยงเธอกับสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ ข้างใน และผู้คนอีกมากมายที่กำลังทำสิ่งเดียวกันนี้เป็นเพื่อนเธอ . “ลองยินเสียงอย่างแยบยลจากที่ใกล้และไกล พริ้วผ่านเข้ามาไหวน้อยๆ ข้างในตัว ดื่มด่ำดมดอมกลิ่นที่สายลมฝากให้ ขณะที่เธออยู่กับตน ด้วยใจที่เต็มตื่นและตื้นตัน… Continue reading ความไม่มี…มิได้ลดทอนสิ่งที่มี
Category: ไกด์โลกจิต
จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้
“เธอไม่จำเป็นต้องกลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคง ชีวิตไม่ใช่ความมั่นคงตั้งแต่ต้น แผนการใดของคนจึงจะแน่นอน เมื่อไม่มีความแน่นอนตั้งแต่ไหน” . …หากเธอกลัวความไม่มั่นคง ในแง่หนึ่งก็เท่ากับว่าเธอก็กลัวชีวิต เพราะชีวิตคือความไม่มั่นคงในตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะกังวลว่าชีวิตจะหักเหและไม่แน่นอนไหม เพราะธรรมชาติของชีวิตนั้นก็คือความไม่คงที่ ถ้าโลกและชีวิตเป็นความเที่ยงแท้ คงไม่มีต้นไม้งอกงามแตกใบและผลิผล ไม่มีฤดูกาล ไม่มีฝนตก ไม่มีความงามของดวงอาทิตย์ขึ้นและลง ไม่มีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ไม่มีแม้แต่ชีวิตของเราในตอนนี้ เพราะความไม่เที่ยงแท้ก็คือทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงและดับสลายเป็นธรรมดา การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดชีวิตและการเริ่มต้นใหม่ จิตใจคนเราแสวงหาความมั่นคง เพราะจิตใจนั้นอยากมีตัวตนที่คงอยู่ และอยากควบคุมชีวิตได้ แต่เพราะสิ่งนี้เองมิใช่หรือ ที่เป็นบ่อเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายในชีวิต บ่อเหตุแห่งทุกข์ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากความคาดหวังว่า…สิ่งที่มีความไม่แน่นอนเป็นธรรมชาติจะมั่นคงและคงที่ได้ สิ่งที่มีความทุกข์เป็นธรรมชาติจะมีความสุขอันสมบูรณ์แบบ และสิ่งที่ไม่อาจถือเป็นตนหรือของๆ ตนอย่างธรรมชาติทั้งหลายและชีวิต จะมีความเป็นตัวตนและของๆ ตนได้อย่างแท้จริง เราสร้างแผนการต่างๆ ในชีวิต ซึ่งมิใช่เพียงแผนการที่บอกว่าฉันจะทำอะไร แต่เป็นความคาดหวังที่บ่งบอกว่า ฉันจะต้องเป็นอย่างไร และจะต้องได้รับอะไร เพราะจิตใจต้องการความมั่นคงและความแน่นอน และก็พยายามรักษาแผนการนั้น จนเสมือนดั่งว่าแผนการในหัวคือตัวชีวิต ทั้งที่ชีวิตคือลมหายใจที่เข้าและออกอยู่ในตอนนี้เท่านั้น เราเครียดและเป็นทุกข์เพียงใดกับความพยายามรักษาแผนการหรือความคาดหวังเหล่านั้น กอดรัดจนสร้างกำแพงขึ้นมาในใจและปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไป . “จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้ ? เธอจะชนะความไม่แน่นอนด้วยกำแพงได้ไหม ? เพราะความกลัวจึงคาดหวัง จึงกอดรัดแผนการต่างๆ อย่างหมกมุ่น” . …ด้วยความกลัวความไม่มั่นคงและสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงสร้างแผนการต่างๆ ในหัวขึ้นมาอย่างยุ่งเหยิง… Continue reading จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้
ไม่จำเป็นต้องมีค่าทุกที่ ทุกสถาน หรือตลอดเวลา
“การเห็นความทุกข์จากมาตรฐานที่ตนสร้างขึ้น เป็นก้าวแรกๆ ที่สำคัญในการผ่อนปรนเงื่อนไขของชีวิต มิว่าจะเป็นเงื่อนไขการรักตัวเอง หรือเงื่อนไขอื่นๆ ก็ตามที่ผูกมัดตนไว้ “สำหรับผม การจดบันทึกเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะเรื่องเงื่อนไขหรือมาตรฐานรักตัวเอง เป็นนามธรรมซึ่งซ่อนเร้นอย่างแนบเนียนในชีวิต เราต้องย้อนทบทวนรูปธรรมของชีวิต – ความสุขกับความทุกข์ในชีวิตที่ผ่านมาหลายเรื่อง จึงจะเห็นแบบแผนของความทุกข์และคุกที่คุมขังใจ “ความตระหนักในเงื่อนไขการรักตัวเอง คือความเข้าใจว่านี่เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งที่จิตสร้างขึ้นเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือนี้ตลอดก็ได้ “แม้จะมีเหตุการณ์และสิ่งนอกตัวเป็นเหตุปัจจัยทำให้เชื่อว่า ฉันจะมีคุณค่าได้ ฉันต้องเป็นอย่างไร แต่กระนั้นสิ่งที่กำหนดเงื่อนไขจริงๆ ก็คือการตีความของจิตนั่นเอง การเขียนบันทึกย้อนกลับไปในอดีตทำให้ได้ทบทวนการตีความนี้และเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ “ในเมื่อจิตสร้างเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเอง จิตก็สร้างเงื่อนไขใหม่ได้ หรือเลือกทำให้สมดุลมากขึ้น ด้วยการแลเห็นว่า “ฉันไม่จำเป็นต้อง…” เพื่อมีค่าเพียงอย่างเดียว “แต่ฉัน…” บ้างก็เป็นคนมีค่าเช่นกัน “ผมไม่จำเป็นต้องมีค่า เมื่อผู้อื่นเห็นค่าหรือเป็นที่รักอย่างเดียว เพราะแม้หนังสือที่ใครๆ ก็ทิ้งร้างไม่หยิบอ่าน หนังสือเล่มนั้นก็ยังบรรจุเนื้อหาอันมีค่าอยู่ แม้ถูกเกลียด ถูกวิจารณ์ ถูกหมางเมิน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกคุณค่าในตัวเสมอไป “อีกทั้งเรายังไม่จำเป็นต้องมีค่าทุกที่ ทุกสถาน หรือตลอดเวลา เราไม่มีค่ากับบางคน บางสถานการณ์ หรือบางเรื่องก็ได้ มันเป็นธรรมดา หนังสือที่ดีอาจไม่ได้มีค่าในมือทุกคนและทุกเวลา และมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เลย “ความทุกข์ในอดีตทำให้เห็นความเป็นจริงสุดโต่งไปในทางหนึ่งทางใด เมื่อย้อนพิจารณาด้วยใจเป็นกลางแล้ว ความเห็นที่เคยตีกรอบสร้างเงื่อนไขอย่างคับแคบไปก็จะกว้างขวางมากขึ้น เรียกว่าเข้าใจชีวิตตามที่เป็นจริงมากขึ้น จึงรักตัวเองตามที่เป็นจริงโดยลำดับ… Continue reading ไม่จำเป็นต้องมีค่าทุกที่ ทุกสถาน หรือตลอดเวลา
เพราะหนอนผีเสื้อเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองเป็นและทำ
ก้าวแรกของความสำเร็จ อยู่ที่เราให้เวลากับช่วงเริ่มต้นอันเชื่องช้าได้มากเท่าใด หากเราเร่งร้อนและหวังผลเกินไป แต่ไม่สามารถทำได้ดังหวัง เฉกเช่นเป็นหนอนผีเสื้อแต่อยากวิ่งเร็วเหมือนตั๊กแตน เราย่อมไม่อาจมีความสุขและเห็นคุณค่าของการเริ่มต้นทำสิ่งใดได้เลย หนอนแก้วน้อยให้เวลากับการคืบคลาน เริ่มต้นอย่างเชื่องช้า งุ่นง่าน ดูแสนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ คนอาจดูแคลน ใครบางคนอาจสงสัย แต่ชีวิตอันธรรมดาจะติดปีกได้ก็ต้องอาศัยความอดทนเช่นนี้ เพราะหนอนผีเสื้อเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองเป็นและทำ แม้มันอาจไม่เห็นปีกของตนเองในตอนนั้นอย่างชัดเจน มันก็ไม่เคยหยุดที่จะมีชีวิตและเริ่มต้น ปีกของเราแต่ละคนซ่อนอยู่ข้างใน มันต้องมีพื้นที่และเวลาที่จะกางปีกนั้นออกมา เมื่อถึงจุดหนึ่ง หนอนผีเสื้อต้องหยุดลงและสร้างรังดักแด้ ห่อหุ้มกายและหยุดนิ่ง ดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับว่ามันตายและไม่ทำอะไรเลย แต่นั่นคือช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลง หากเราใช้ชีวิตอย่างวิ่งวุ่นเหมือนตั๊กแตนหรือบินยุ่งเหมือนยุง เราก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและเริ่มต้นสิ่งใหม่ได้ เพราะการเกิดก่อต้องบ่มจากการหลอมรวม ดังนั้น การให้เวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนใคร่ครวญ สงบใจด้วยใจกระจ่าง เป็นขั้นตอนที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเริ่มต้นสิ่งใด ๆ การรู้หยุดบ้างจะทำให้เราสลัดจากคราบและร่องเดิมที่มีอยู่ ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยหรือการยึดติด นิ่งเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน มิใช่วุ่นวายกับสิ่งต่างๆ นอกตัว จนเราสับสนและกลบบังสิ่งสำคัญ และใช้ชีวิตไปตามร่องรอยเดิมอย่างที่เคยยึด เราจะเห็นหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างชัดเจนได้ ต่อเมื่อเรากลับมาหยุดนิ่งอยู่กับตนเองเท่านั้น เปรียบเหมือนการเกิดใหม่จากหนอนแก้วกลายเป็นผีเสื้อ ช่วงเวลาของการเป็นดักแด้นั้นคือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เขาจะต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นเกือบเท่าระยะเวลาชีวิตที่คืบคลาน นานเพียงพอที่ปีกภายในจะก่อเกิดและตัวตนใหม่เข้มแข็งพอ คนเราต้องมีช่วงเวลาอยู่ในดักแด้ คือรู้สงบภายใน ทบทวนก้าวย่างชีวิตที่ล่วงเลย ให้เวลาตนได้ฝึกฝนตัวเอง ก่อนที่จะก้าวไปยังวาระใหม่แห่งชีวิต เมื่อเราหยุดนิ่ง กักตนเองไว้ในดักแด้ของความสงบและการใคร่ครวญ ใช้ชีวิตช้าลง… Continue reading เพราะหนอนผีเสื้อเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองเป็นและทำ
เราต่างผ่านการพลัดพรากมาแล้วมากมาย…
เราต่างผ่านการพลัดพรากมาแล้วมากมาย… คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต หากรินเก็บน้ำตาตั้งแต่แรกเกิดจนมาถึงวันนี้จะได้ปริมาณน้ำตามากเพียงใด แล้วถ้าเราเก็บรวมปริมาณน้ำตาทั้งหมดจากชาติภพที่ผ่านมา หรือนับจำนวนครั้งที่เศร้าโศกเสียใจ จะเป็นปริมาณมหาศาลเพียงใด เทียบกับน้ำในมหาสมุทรทั้งหลายแล้วอย่างใดกันแน่ที่น้อยกว่า . “น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา (ในการเวียนว่ายตายเกิด) คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน” . “พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย” . “พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา … ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว … ของบุตร … ของธิดา … ความเสื่อมแห่งญาติ …ความเสื่อมแห่งโภคะ … ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔… Continue reading เราต่างผ่านการพลัดพรากมาแล้วมากมาย…
ไม่ต้องหาเวลาดูแลตัวเอง อยู่ตรงนี้กับตัวเอง เธอก็มีเวลา
“ไม่ต้องหาเวลาดูแลตัวเอง อยู่ตรงนี้กับตัวเอง เธอก็มีเวลา “ไม่ต้องหาเวลาดูแลใคร อยู่ตรงนี้กับกายใจ เธอก็มีเวลาดูแลทุกคน” . . “อย่าพยายามทำอะไร เพื่อมีโมงยามมากขึ้น ยิ่งอยากมี ยิ่งสูญเสียมันไป นั่งตรงนี้ก่อน หายใจให้มากพอ เธอจะเห็นเวลาที่แท้จริง” . . 📖 ส่วนหนึ่งของคอลัมน์ “บทภาวนา อนัตตา” ตอนที่ 43 โดย ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์ www.dhammaliterary.org/บทภาวนาอนัตตา43/ . … เพียงกลับมามีสติอยู่กับลมหายใจ ทำความรู้สึกตัวที่กายใจในปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็มีเวลาดูแลตัวเองแล้ว ถ้าเราไม่กลับมาอยู่กับตัวเอง เราก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เพียงกลับมามีสติ คุ้มครองตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจตนเอง เราก็กลับมาดูแลตัวเองแล้ว โดยไม่ต้องหาเวลาหรือแบ่งเวลา … ผู้คุ้มครอง “ทวารทั้งหก” นี้ได้ เป็นผู้มีสติอยู่กับกายใจตนอยู่เป็นนิจ ผู้นั้นก็เท่ากับว่าได้คุ้มครองทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ ก็จะเป็นไปในทางกุศลหรือเป็นประโยชน์ทั้งตนและคนอื่น… Continue reading ไม่ต้องหาเวลาดูแลตัวเอง อยู่ตรงนี้กับตัวเอง เธอก็มีเวลา
กำจัดฝุ่นภายใน ต้องขัดใจตัวเอง
“กำจัดฝุ่นภายใน ต้องขัดใจตัวเอง” #คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต ปัญหาฝุ่นและมลภาวะทางอากาศกำลังบั่นทอนชีวิตของคนไทยและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้ผู้เขียนบทความของคอลัมน์นี้ก็ได้รับกรรมร่วมเช่นเดียวกัน แต่ในช่วงที่ป่วยจากฝุ่น PM 2.5 ผมแลเห็นว่าเขาก็เป็นครูสอนปริศนาธรรมกับเราด้วย เพราะนอกจากฝุ่นที่อยู่ภายนอกกายแล้ว ก็มีฝุ่นอีกแบบที่อยู่ภายในจิตใจของเราเอง ที่เป็นมลภาวะบั่นทอนชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน และทั้งสองฝุ่นนี้ต่างมีจุดร่วมของการก่อกำเนิดและการกำจัดที่น่าสนใจ ฝุ่นภายในที่กล่าวถึง ซึ่งเรียกว่า “นิวรณ์” เปรียบเสมือนเมฆหมอกที่บดบังปัญญาและแสงสว่างภายในตัวเรา อีกทั้งยังทำให้จิตใจไม่สงบ เครียดง่าย มีใจที่ป่วยอ่อนแรง ขาดพลังในการทำสิ่งต่างๆ ได้ง่าย เหมือนกับฝุ่นในอากาศที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เครียดในการใช้ชีวิต และพาให้จิตใจเศร้าหมองไปด้วย นิวรณ์ แบ่งออกเป็น 5 อย่างคือ 1. กามฉันทะ – เป็นอาการของใจที่พยายามกอดรัดสิ่งที่ชอบใจ อาทิ ความเพลิดเพลิน ความพอใจ และความคาดหวังในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และความรู้สึก 2. พยาบาท – เป็นอาการของใจที่พยายามผลักไสบางสิ่งบางอย่าง เช่น ความโกรธ ความไม่พอใจ ความหงุดหงิดรำคาญ และการคิดร้ายต่างๆ นานา… Continue reading กำจัดฝุ่นภายใน ต้องขัดใจตัวเอง
ความไม่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต
…นอนตากฉี่จักจั่นดั่งละอองน้ำค้างยามบ่าย มองแสงแดดรำไรผ่านกิ่งไม้ใบไม้และก้อนเมฆเลื่อนลอย ทอดกายใจกับสายลมพัดผ่านในพื้นที่โล่งกว้าง พร้อมอ่านหนังสือไปด้วย ครึ้มอกครึ่มใจก็ลงแรงขุดคูข้างๆ พรวนดินและแต่งสวน ดูแลสิ่งต่างๆ ทั้งในและบริเวณรอบแปลงผักนั้นเสมือนโลกใบที่สาม โดยมีบ้านเป็นโลกใบแรก และห้องสมุดเป็นโลกที่สอง กลายเป็นว่าวิชาที่ชอบน้อยที่สุดกลับเปลี่ยนชีวิตของผมไป ทำให้ฝันถึงการมีสวน ที่ดิน และการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ นับตั้งแต่นั้นมา แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณคือความยากจนที่ทำให้ไม่ได้เรียนพิเศษเหมือนเพื่อนๆ ซึ่งเรียนกันเกือบทุกคน ระหว่างที่เขากำลังคลุกคลีในห้องเรียน ผมก็มานอนข้างแปลงผักหรือทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยตรงนั้นตั้งแต่ช่วงสาย เพื่อนที่ทำแปลงผักด้วยกันเมื่อเรียนเสร็จประมาณช่วงบ่ายก็จะมารวมตัวกันกับผม …โครงงานวิชาเกษตรทำให้ชีวิตจากที่เหี่ยวแห้งอย่างมากในการเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย ทำตัวดี คลุกคลีในห้องสมุด ได้พบสีสันแห่งความสุขใหม่ๆ เช่นเดียวกันกับการเจอเพื่อนช่วงชั้นมัธยม ซึ่งต่างมีบุคลิกแตกต่างจากผมมาก และอาจจัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เด็กเรียนไม่ควรคบหา เพราะพาไปพบทั้งการโดดเรียน การวิวาทต่อยตี เหล้าสุรา และเรื่องนอกคอกทั้งหลาย แต่พวกเขากลับทำให้ผมเห็นโลกที่มากกว่าในห้องเรียน และทำให้ตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กดีเรียนเด่นก็มีความสุขได้ หลังคบหาเพื่อนใหม่ เกรดเฉลี่ยค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเด็กคะแนนปานกลาง บางครั้งก็ได้คะแนนอยู่อันดับรั้งท้ายของห้องคิงห้องควีน แต่ปริมาณความสุขในชีวิตค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่ถึงขนาดร่าเริงแจ่มใส เก็บกดก็มากอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่ดีให้ค้นหา แม้จะเป็นกลุ่มเด็กเกเรอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อผมลำบากเรื่องเงิน พวกเขาก็เคยช่วยเหลือ ในขณะที่โรงเรียนพยายามให้เด็กเรียน อยู่กับเด็กเรียนด้วยกันมากกว่า จึงจับแยกมาอยู่ห้องต้นๆ นำพวกเด็กเกเรไปกองอยู่รวมกันในห้องท้ายๆ เพราะไม่อยากให้เด็กพวกหนึ่งฉุดรั้งเด็กอีกพวกหนึ่ง และโรงเรียนสามารถเลือกสอนสิ่งยากๆ… Continue reading ความไม่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต
พรของความไม่สมบูรณ์แบบ
ไม่ใช่เพราะความสุข ที่ทำให้เราเห็นความหมายของชีวิต แต่เป็นเพราะความทุกข์ที่ทำให้เราเห็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพราะเราเกิดมาในโลกที่ดีเลิศเลอ เราจึงมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดี แต่เพราะโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยบาดแผลและความทุกข์เข็ญ เราจึงต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่แตกต่าง ความบกพร่อง ที่ทำให้เรามีช่องว่างในการเติมเต็ม มิเช่นนั้นแล้วเราก็จะเป็นเพียงน้ำเต็มแก้ว ของล้นห้อง เติมสิ่งดีๆ ใดๆ มิได้อีก พรของการมีความสุขและชีวิตที่สุขสมหวัง อาจไม่ใช่พรที่ดีที่สุด ในเมื่อเราอยู่บนโลกที่ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน มีความทุกข์ ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง ฯ อยู่เป็นธรรมดา และหาได้มีสิ่งใดที่เราจะหยิบติดตัวเป็นของตนไปได้ตลอดกาล แม้เรารู้อยู่แก่ใจว่า ชีวิตเราในปีเก่า ปีหน้า หรือปีถัดไปถัดไป เราก็มิอาจหนีความจริงของโลกพ้น พรที่ดีที่สุด คือการยอมรับความจริงว่าเราเป็นคนธรรมดาที่มีทุกข์อยู่เป็นธรรมดา อยู่ในโลกที่มีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่เป็นธรรมดา เพราะเป็นธรรมดานี่เอง จึงพิเศษ ในโลกที่คนมากมายอยากได้ความพิเศษและอยากเอาชนะความเป็นจริงของชีวิต เพราะความไม่สมบูรณ์แบบจึงสมบูรณ์แบบ เพราะปล่อยวางชีวิตเป็นไปตามกฎแห่งกรรมและทำวันนี้อย่างดีที่สุด แผนปีหน้าที่จริงแท้ที่สุดคือ… “ลมหายใจที่มีอยู่ในตอนนี้” ความตั้งใจปีหน้าที่จริงใจกับความจริงที่สุดคือ… “สุขก็รับ ทุกข์ก็รับ” เป้าหมายปีหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดคือ… “ผ่านมาและผ่านไป” คำอวยพรใดจะประเสริฐยิ่งไปกว่า… “ทุกสิ่งจะเป็นอย่างที่เป็น” ไม่ใช่ความสุขและความสมหวังที่จะทำให้ปีหน้า ดีกว่าปีนี้หรือปีที่ผ่านมา แต่เป็นการยอมรับความเป็นจริงด้วยสติรู้เนื้อรู้ตัว และจิตใจอันเปิดกว้าง ความสวยงามของชีวิตไม่ใช่ตอนที่เรายิ้มเวลาสมหวัง แต่ชีวิตงดงามเมื่อเรายิ้มได้แม้ในยามล้มเหลว ความผิดหวังก็เป็นความสวยงามของชีวิต เพราะตอนนั้นหัวใจของเรา ปลดปล่อยจากความคาดหวังและเงื่อนไขที่มัดหัวใจ… Continue reading พรของความไม่สมบูรณ์แบบ
วิถีการคิดที่ผิดเพี้ยน
วิถีการคิดที่ผิดเพี้ยน วิธีคิดของคนมีหลายเหตุปัจจัยประกอบเข้าด้วยกัน อาจมี “อวิชชา” คือความโง่หรือไม่ซื่อตรงต่อความจริง เข้ามาผสมเจือปนได้ตลอด อาจมีโลภะ โทสะ โมหะ หรือ “โลภ โกรธ หลง” ทำให้การคิดผิดเพี้ยนไปจากเหตุอันควร การคิดทั่วไปมักเกิดจากการปรุงแต่งจากสิ่งที่รับรู้ผ่านอายตนะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อรับรู้อย่างขาดสติ เป็นไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้จริงในธรรมชาติ สิ่งใดมากระทบก็มัวเมารู้สึกรู้สา เกิดเป็น “ตัณหา” คือความอยาก และนำไปสู่ “อุปาทาน” คือการยึดติด วิธีคิดที่ผิดเพี้ยนก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว เพราะการคิดใดๆ ของเราต่อจากนั้นก็จะเป็นการคิดที่รับใช้อวิชชา รับใช้ตัณหา รับใช้อุปาทาน แต่ไม่ได้รับใช้ความจริง ไม่ได้รับใช้ความถูกต้อง วิถีทางแห่งการคิดที่ผิดเพี้ยนไปนี้ก็คือการมี “อคติ” นั่นเอง แต่คำว่า อคติ นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องความคิดความเห็นอย่างภาษาปากที่คนไทยใช้ แต่ในทางพุทธศาสนานั้น หมายรวมในความประพฤติ ทัศนคติ และการคิดอีกด้วย หากแปลตรงตัว คำว่า อคติ หมายถึง ผิดที่ผิดทาง หรือความเป็นไปอันไม่สมควร แปลแบบไทยก็ใช้คำว่า… Continue reading วิถีการคิดที่ผิดเพี้ยน