พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า…
“สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ?”
.
“เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความจาก ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน? สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้วมีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้” ***
.
ความดีที่เรารักษาไว้ หลักการอันคร่ำเคร่ง คุณสมบัติน้อยใหญ่ สมาธิอันเป็นเลิศ ความเก่ง จนถึงปัญญาของตัวเรา อาจเป็นคุณค่าที่ทำให้เราพอใจและรักตัวเองอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้มากกว่าทรัพย์นอกตัวก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดเราก็นำเอาไปด้วยไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องตายลง หรือแม้วันเวลาหนึ่งเมื่อร่างกายทรุดโทรมลง สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมเลือนหายไป
.
เมื่อเรายึดเอาคุณค่าของตนเองไว้ที่สิ่งนอกตัวและในความเป็นตัวตนอันไม่ยั่งยืน เมื่อนั้นก็ยังมีความทุกข์จากการพลัดพรากและเสื่อมถอยของสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่วันหนึ่งก็วันใด แม้เรายังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็ยังมีทุกข์จากการต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น ต้องหวนแหนรักษาไว้ ต้องคอยปกป้องไม่ให้เสื่อมถอย ไม่ว่าทรัพย์ภายนอกก็ดี หรือคุณสมบัติในตัวเราก็ดี เมื่อนั้นก็ยังเป็นทุกข์อยู่
.
ดังนั้นแล้วการพึ่งพาตนเองและธรรม ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นั้นคืออะไร ในเมื่อคุณสมบัติในตัวเราและสิ่งที่เราทำได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงยึดไว้เป็นที่ตั้งสูงสุด พระองค์ทรงตรัสต่อ ดังนี้
.
“ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ … ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ … ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ดูกรอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อยู่อย่างนี้แล” ***
.
การมีตนเป็นที่พึ่ง มิได้หมายถึงเอาตัวตนของฉันเป็นที่ตั้ง หรือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองเท่านั้น การมีธรรมเป็นที่พึ่ง จึงไม่ได้หมายความว่าให้เอาหลักคิดความรู้และคำสอนทางศาสนาตามความเข้าใจของตนเป็นที่ตั้ง แต่ท่านทรงหมายถึง ให้ใช้ความเพียร การมีสติ ความระลึกรู้ตัว การพิจารณาเห็นกายใจตามความเป็นจริง การพิจารณาธรรมคือสภาวะความจริงตามความเป็นจริง และการขจัดละกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลายเป็นที่ยึดเหนี่ยว
.
เราจะสังเกตได้ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้ยึดนั่นมิใช่ลักษณะของความเป็นตัวตน และเป็นการเน้นย้ำให้ยึดการขัดเกลาจิตใจ เพราะการถือในความมีตัวตนของตัวเอง และสิ่งต่างๆ ทั้งหลายนั้นยิ่งทำให้ทุกข์
.
การมีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ได้มีความหมายต้องเฉพาะหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เราผู้นับถือศาสนาต่างๆ สามารถกล่าวในความหมายเดียวกันได้ว่า มีพระเจ้าเป็นที่ยึดเหนี่ยว กลุ่มคนบางกลุ่มอาจใช้คำว่า “วางใจในจักรวาล” แทนก็ได้ หากยังคงมีจุดร่วมกันคือการมุ่งละการเอาตนเป็นศูนย์กลาง ยึดเหนี่ยวธรรมหรือพระเจ้าเป็นที่พึ่งแก่ตัว เพื่อลดความเห็นแก่ตนและวางจากการถือความเป็นตัวตน นี่ก็ถือว่าเป็นทางเดียวกัน หากเราถือว่าการมีธรรมเป็นที่พึ่งนี้คือธรรมของศาสนาพุทธเท่านั้น นั่นยังมิใช่ความหมายที่ถูกต้อง
ความพลัดพรากส่งข้อความบอกเราว่าสิ่งใดๆ ก็ไม่อาจยึดเหนี่ยวไว้ได้เลย ไม่เที่ยงแท้พร้อมจะแปรปรวนไปทั้งนั้น สิ่งที่เราควรใส่ใจและหันมายึดเหนี่ยวให้มากไว้ คือการใส่ใจโลกภายในตนเอง ด้วยการพิจารณากายใจเราให้รู้ความจริง มีสติกับตน อย่าได้หนีความทุกข์และความเหงาเปล่าเปลี่ยวภายในไปกับการจับจ่ายใช้สอย วัตถุภายนอกตัว ความสวยความงามและความเก่งของตัวเอง หรือกระทั่งบุคคลใดก็ตาม ไม่มีสิ่งใดเหล่านี้ที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป ยิ่งหมายคว้าสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ก็ไม่ช่วยให้เราพ้นจากทุกข์ได้
…
คัดจากคอลัมน์ ไกด์โลกจิต ตอนที่ 45
โดย ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์
***พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค