“ยึดมั่นตัวบุคคล ปลายทางคือความผิดหวัง”
ผมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้สัมภาษณ์นั้นก็คือศิษย์เก่าที่มีใจเคารพศรัทธาในสิ่งที่ผมสอนและงานโครงการ ผมกล่าวประมาณว่า ความมั่นคงจากภายในที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการยึดมั่นในบุคคลอื่นหรือสิ่งนอกตัว และปลายทางของการยึดมั่นในตัวบุคคลมีสิ่งเดียว คือความผิดหวัง แม้บุคคลนั้นจะใครก็ตาม เป็นผมหรือครูโอเล่ก็ไม่มีข้อยกเว้น…
การไม่ยึดมั่นในตัวบุคคล คือคำสอนที่เด็ดขาดในพุทธศาสนา และเป็นสิ่งที่ครูอาจารย์ที่สอนผมมาได้มอบสิ่งเดียวกันนี้มาให้ ด้วยการไม่ได้ให้ประกาศคุณงามความดีและหอบหิ้วภาพสักการะต่างๆ รวมถึงสามารถวิจารณ์ตัวท่านได้
พุทธศาสนาไม่เพียงสอนให้เราไม่ยึดมั่นในตัวบุคคลของครูอาจารย์ แต่ยังรวมถึงคนรัก นักเรียน มิตร ศัตรู ลูก และแม้แต่ตัวเราเองด้วย
การยึดมั่นในตัวบุคคลทำให้เรานำความโลภ-โกรธ-หลง ในจิตใจตนเอง ไปยัดเยียดให้กับคนอื่น ในนามความคาดหวังและภาพลักษณ์ที่จิตเราสร้างขึ้นมา
เราผิดหวังอะไรในตัวเอง และสร้างเงื่อนไขอะไรผูกมัดตนไว้ เราก็จะลงสิ่งเดียวกันนี้ในตัวบุคคลอื่นที่เรายึดมั่นหรือศรัทธา
เมื่อนั้นแล้ว เราจะแอบมีเงื่อนไขประมาณว่า “เพราะเขาเป็น… เขาจึงต้อง…ต่อฉัน” “เพราะฉัน… เขาจึงควร…” “ฉันไม่สามารถ… หากเขาไม่…” หรือ “เขาจะต้อง… เท่านั้น ไม่สามารถ…”
สิ่งนี้คือความหลง หรือโมหะแบบหนึ่ง เพราะเราหลงลืมไปในขณะนั้นว่า บุคคลดังกล่าวไม่ว่าเขาจะเป็นครูอาจารย์ คนรัก นักเรียน มิตร ศัตรู ลูก หรือใครก็ตาม เขาก็เพียงคนๆ หนึ่งที่ยังไม่นิพพาน-ไม่หลุดพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง ยังเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยงแท้ เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนของๆ ตน
เขาก็เพียงความไม่คงที่และกายใจที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตัวเราเองก็เช่นเดียวกัน หากเราผิดหวังในใครสักคนที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่เราแอบมีในใจ ลองย้อนกลับมาดูตนว่า ตัวเราเองเป็นทุกข์เพียงใดเพราะเงื่อนไขต่างๆ ที่ผูกมัดใจไว้ เรามีสิทธิ์ที่จะสร้างเงื่อนไขนั้นๆ ต่อผู้อื่นหรือไม่ และเราสามารถทำตามเงื่อนไขแบบนั้นก่อนจะคาดหวังในตัวผู้อื่นได้เพียงใด…
คนที่ขาดศรัทธาในตนเอง ขาดความมั่นคงภายในจิตใจ ยิ่งง่ายที่จะหลงยึดมั่นในตัวบุคคลของใครสักคน และที่น่าเห็นใจคือ คนเช่นนี้เมื่อผิดหวังเพราะการยึดมั่นไปเองในคนๆ หนึ่ง ก็เพียงกระโจนเปลี่ยนไปหาคนใหม่หรือสิ่งนอกตัวอย่างใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น
จนกว่าเขาจะสามารถกลับมาเป็นที่พึ่งพาตนเองอย่างแท้จริงได้
การยึดในตัวผู้อื่นบางทีก็เป็นไปเพียงเพื่อตอบสนองต่อความอยากได้รับการยอมรับ ความเป็นที่รัก และความรู้สึกว่า “ฉันมีคุณค่า” แต่เมื่อใดก็ตามที่บุคคลนั้นไม่อาจตอบสนองให้เราได้ เราก็ผิดหวัง
อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ปลายทางของการยึดมั่นในตัวบุคคลก็ยังเป็นความผิดหวัง เพราะไม่มีใครที่สามารถตอบสนองความโลภ-โกรธ-หลงของจิตใจเรา ไม่อาจมีใครที่เติมเต็มความอยากได้รับการยอมรับและความรักของเราได้ตลอดเวลา และไม่ควรมีใครเป็นทาสต่อเงื่อนไขต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมา
เดิมเราหลงรักชอบพอหรือศรัทธาในตัวเขาก็อาจเกิดขึ้นจาก “ฉันทาคติ” หรืออคติที่เกิดขึ้นเพราะความชอบใจ เขาทำสิ่งใดเราก็เห็นดีเห็นงามไปหมด แต่เมื่อหมดรักหรือเจอเรื่องผิดหวัง จากฉันทาคติก็กลับกลายเป็น “โทสาคติ” หรืออคติที่เกิดขึ้นเพราะความไม่ชอบใจ
สุดท้ายก็แค่ใจเราเองที่เหวี่ยงไปมาตามสิ่งที่รับรู้และอคติของใจเท่านั้น เราไม่ได้รักชอบศรัทธาในเขาอย่างที่เขาเป็นจริง แต่เป็นไปตามภาพลักษณ์ที่เราเชื่อเท่านั้น
การยึดมั่นตัวบุคคลไม่ใช่เพียงการศรัทธาในใครสักคน แต่หมายถึงการยึดมั่นในความเป็นตัวตนหรืออัตตา เราก็จะมีความหมายมั่นว่าเขาหรือตัวเราจะต้องเป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้ตลอดไป
…แต่สิ่งใดที่จะพ้นไปจากไตรลักษณ์ เพียงแค่ความไม่ยั่งยืนและความไม่สมบูรณ์แบบด้วยกันทั้งนั้น
ในเมื่อเราเองก็ไม่คงที่ “ไม่สมบูรณ์แบบ” และมีเหตุปัจจัยอันมิใช่ตัวตนของๆ ตนมาประกอบเป็นกายใจเช่นกัน เหตุใดจึงไปยึดมั่นสิ่งที่ไม่คงที่ ไม่สมบูรณ์แบบ และเป็นเพียงเหตุปัจจัยอันมิใช่ตัวตนของๆ ตนเหมือนกัน
เราก็มีความโลภ ความโกรธ และความหลง การไปยึดติดหรือโกรธเกลียดในคนที่ก็มีโลภ โกรธ และหลงด้วยเหมือนกัน เราจะหลุดพ้นจากทุกข์ที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
การยึดมั่นตัวบุคคล ยังมีลักษณะที่เราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะการหมายมั่นว่าคนอื่นเป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือจะต้องทำแบบนั้นทำแบบนี้ ก็เพราะอัตตาในจิตใจเราเป็นผู้อุปาทานขึ้นมาทั้งนั้น
หากยึดมั่นในตัวบุคคลความเป็นลูก เราก็จะคาดหวังให้เขาอยู่ในโอวาทและเป็นภาพสะท้อนของความต้องการที่มีอยู่ในจิตใจพ่อแม่ โดยหลงลืมไปว่า เขามีชีวิตของเขาเอง มีความต้องการของตน เขาเกิดมาเพื่อใช้กรรมของตัวเองและมีหนทางชีวิตที่ต้องก้าวเดินไป มิใช่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตของพ่อแม่
ไม่เพียงแค่ลูกแต่บุคคลอื่นๆ ที่เรารักและห่วงใยเขาด้วยเช่นกัน หากไม่ตระหนักเช่นนี้ความห่วงใยก็จะเป็นสายรัดที่ผูกมัดทั้งสองฝ่ายไว้อย่างเป็นทุกข์
การไม่ยึดมั่นตัวบุคคล ยังหมายถึงการไม่ยึดติดในนิยาม ความเป็นครูอาจารย์ ลูกศิษย์ แฟน คนรัก พ่อแม่ ลูก ความเป็นตัวเขาและความเป็นตัวเรา ซึงต่างเป็นเพียงการสมมตและบทบาทหน้าที่ตามเหตุปัจจัยเท่านั้น
พระพุทธเจ้าทรงใช้คำเรียกแทนตัวท่านว่า ตถาคต-ผู้เป็นเช่นนั้นเอง เพราะท่านทรงต้องการให้เราไม่ได้ยึดมั่นในท่านเป็นตัวบุคคล ให้มองท่านเป็นเพียงความเป็นธรรมดาที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นผลของการฝึกตนดีแล้ว และเป็นตัวอย่างของการละวางตัวตน
“ผู้เป็นเช่นนั้นเอง” มิใช่ท่านท่านั้น แต่หมายถึงใครก็ได้เช่นกันที่ซึ่งได้ฝึกตนเองดีแล้ว ได้ละวางอัตตา และพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ในพระพุทธศาสนา การให้พระภิกษุขึ้นเทศน์หรือสอนธรรม ไม่ใช่เพราะว่าพระผู้นั้นหลุดพ้นสิ้นเชิงแล้ว แต่เป็นหนึ่งในกุศโลบายในการสอนตัวเองไปด้วยผ่านการทำหน้าที่ช่วยเหลือคนอื่น มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าการสอนหรือการสาธยายธรรม เป็นหนึ่งในทางที่ช่วยในการตื่นรู้
ผู้สอนเองก็ต้องเตือนตนว่า เรายังไม่นิพพาน สิ่งที่เราสอนหรือประพฤติอาจจะผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องได้ ขณะเดียวชาวบ้านหรือผู้เรียนก็ต้องสังวรว่า ท่านมีกรรมต้องทำหน้าที่สอนหรือเผยแพร่ธรรมเช่นนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการหลุดพ้นในกาลต่อไป ไม่ใช่ยึดติดว่าเพราะท่านหลุดพ้นแล้วจึงสอนหรือจะต้องสมบูรณ์แบบได้อย่างที่สอน
เช่นเดียวกัน หมอที่ผ่าตัดให้เราหรือตรวจสุขภาพให้กับเรา เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีสุขภาพดีสมบูรณ์แบบ การที่เราไปยึดมั่นว่าคนที่จะช่วยเราพ้นทุกข์ได้จะต้องดีเลิศเลอเป็นแค่อุปาทานแบบหนึ่งเท่านั้น
ผมเองเป็นครูที่เคยผิดหวังในครูอาจารย์และผู้มีพระคุณของตนเองหลายครั้ง ซึ่งท้ายที่สุดก็ได้แลเห็นว่า สิ่งเหล่านั้นต่างมีปมเกี่ยวกับพ่อแม่มาเกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีได้อย่างสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะภาพลักษณ์ของผู้เป็นพ่อแม่ที่จิตใจผมได้สวมทับพวกเขาไว้
จุดร่วมของวิชาหลายๆ อย่างที่ผมสอนผ่านหัวข้ออันหลากหลาย มีจุดร่วมหนึ่งคือการพึ่งพาตนเอง การฟังครูภายใน การเป็นหมอเยียวยาตนเอง และลดการผูกมัดตัวเองกับบุคคลอื่นหรือสิ่งนอกตัวอย่างมีเงื่อนไข
กระนั้นผมเองก็ยังไม่หลุดพ้นจากทุกข์ บางครั้งคำที่เคยเขียนหรือเคยสอนก็ย้อนมาปลุกตัวผมในวันที่หลับใหล และหลายครั้งที่ผมนึกชื่นชมลูกศิษย์บางคนที่แก่พรรษาแล้ว แต่เป็นตัวอย่างของความอ่อนน้อมและการไม่ละเลยการฝึกตนเอง แม้ตอนนั้นผมจะยังอ่อนเยาว์และหน้าละอ่อนอยู่มากก็ตาม
ที่ผ่านมาการยึดมั่นในตัวบุคคลแบบหนึ่งที่ทำให้ผมทุกข์ใจ คือการยึดติดกับนิยาม “ศิษย์เก่า” เมื่อเวลาผ่านมาจึงได้เห็นว่าการสำคัญมั่นหมายในศิษย์เก่านี้ก็คือการยึดมั่นในตัวบุคคลแบบหนึ่ง
ผมจึงไม่พ้นไปจากความผิดหวังในนักเรียนบางคนที่ไม่เป็นไปดังหวัง ที่ยกความเป็นศิษย์เก่าในการไม่เคารพในกติกา จากความคาดหวังหรือถูกคาดหวังที่มากเกินไปจนหลงลืมตนเอง และการตามใจนักเรียนเดิมจนส่งผลต่อภาพรวมการเรียนการสอน
ผมและเขาคงลืมไปว่า ผู้ที่เรียนจบแล้วแต่ไม่ทบทวนและไม่นำความรู้มาใช้ ก็ไม่ต่างอะไรจากนักเรียนใหม่เลย และการยึดมั่นในศิษย์เก่าของผมเองก็คงมาจากความต้องการเป็นที่รัก เหมือนกับที่ศิษย์เก่าบางคนก็อาจมีความต้องการนี้เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่พอทำได้ดี คือการยอมให้เขา-นักเรียนหรือศิษย์เก่าต่างๆ สามารถผิดหวังหรือหมดศรัทธาในตัวผมได้ เพราะสิ่งนั้นก็จะเป็นหนึ่งในหนทางที่พาให้เขากลับมาศรัทธาในตนเอง หาใช่การยึดมั่นในสิ่งนอกตัวอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าครู
การวิจารณ์นักเรียนและการถูกนักเรียนวิจารณ์ คือส่วนหนึ่งของครูในเราที่สอนพวกเราในแบบที่ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่มันช่วยให้ละวางตัวตนได้ดี หากมองถูกจุดและน้อมไปเพื่อปล่อยวาง หาใช่พยายามปกป้องสิ่งที่ยึดมั่นไว้
หลังจากรู้ตัวว่ายึดมั่นในศิษย์เก่า ผมก็เตือนตนและใช้กุศโลบายในการมองผู้เรียนทุกคนคือนักเรียนใหม่ทั้งหมด แม้จะมีบางคนที่อาจเรียนในเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วก็ตาม มีการใช้นามปากกาเพื่อเตือนทั้งสองฝ่ายในการละตัวตนของเขา และพยายามใช้กติกาเดียวกันหรือไม่ต่างกันมากระหว่างผู้เรียนทั้งสองแบบ
นี่ก็เพียงจุดเล็กในกิเลสการยึดมั่นในตัวบุคคลที่ผมมี ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอีกมากมาย ผมเองก็เป็นครูที่มีคนบอกว่าผิดหวัง ไม่ศรัทธา หรือหมดศรัทธาหลายครั้ง จากการที่ต้องยึดในกติกาหรือความถูกต้อง การขัดเกลาด้วยการเฆี่ยนตีกิเลสของนักเรียน การตัดสินใจในชีวิตส่วนตัวที่ผู้ติดตามอาจไม่ได้เห็นด้วย หรือการที่ผมไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีก็ตาม
คำสอนของครูอาจารย์ยังอยู่กับผม แม้ในตอนที่ท่านจะไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว สิ่งที่ท่านสอนเรื่องการไม่ยึดมั่นในตัวบุคคล เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมปล่อยวางจากการหมดศรัทธาจากศิษย์เก่าในหลายๆ ครั้ง เพราะในช่วงเวลาแบบนั้นความเป็นครู คือการสอนสิ่งที่ยากสอน แบบที่นักเรียนและตัวครูเองก็ไม่อยากสอนไม่อยากเรียนแบบนั้น แต่บทเรียนที่สำคัญของชีวิตก็มักจะเดินทางมาหาเราในรูปแบบนี้
ปลายทางของการยึดมั่นในตัวบุคคล ล้วนเหมือนกันคือความผิดหวัง และความผิดหวังนี้ก็เหมือนจดหมายที่ส่งมาถามพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
…เมื่อใดเธอจึงจะปล่อยวางจากอัตตาตัวตน เธอจะต้องทุกข์เพราะความผิดหวังอีกมากแค่ไหน จึงจะยอมรับในความเป็นจริงของชีวิตข้อนี้
ภาพที่เธอมองเขาคือความจริงที่เป็นจริง หรือเพียงภาพลักษณ์ที่เธอคาดหวังและสมมติเอาไว้
เธอจะก้าวพ้นจากความมั่นหมายแบบนี้ด้วยการฝึกตนเช่นใด…
ครูก็คือนักเรียนที่เรียนมาก่อนเท่านั้นเอง และนักเรียนก็อาจมาเจอเราเพื่อเป็นครูในแบบหนึ่ง ทั้งครูและนักเรียนเก่าหรือใหม่ ต่างก็เป็นศิษย์เก่าของสงสารวัฏ เป็นนักเรียนในการเวียนว่ายตายเกิดบนกองทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต”
ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์
18-9-2568