เมื่อประชาชนลืมศรัทธาของเกิดมาเป็นมนุษย์และศรัทธาของการฝึกตนเอง

 

…หากเราหวังพึ่งพารัฐจอมพลังมากเกินไป เราอาจจะได้รัฐสังคมนิยมเผด็จการและรัฐมาเฟีย

…หากเราหวังพึ่งพาบุคคลจอมพลังมากเกินไป เราอาจจะได้ศาลเตี้ยและลัทธิบูชาฮีโร่

…หากเราหวังพึ่งพาสถาบันทางจิตวิญญาณจอมพลังมากเกินไป เราอาจจะได้ยุคมืดแบบยุโรปหลายศตวรรษก่อน และสติปัญญาของประชาชนจะถูกขังอยู่ในกรงของศรัทธา

.

สิ่งที่เหมือนกันในสามอย่างนี้ คือการที่ประชาชนหลงลืมว่า ตนเป็นที่พึ่งแแห่งตน และเราทุกคนต่างมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม

ความเป็นไปของการบริหารบ้านเมือง นักการเมือง บุคคลหรือสถาบันที่มีอำนาจในสังคม ต่างเป็นกระจกเงาสะท้อนจิตใต้สำนึกโดยรวมของประชาชนในสังคมนั้น

…เพราะความโลภ โกรธ และหลงที่เรามี ต่างช่วยส่งเสริมให้นักการเมืองที่โลภ โกรธ และหลงแบบเดียวกันนั้นเข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และพวกเขาที่กุมอำนาจในสภาก็จะดำเนินงานไปตามความโลภ โกรธ และหลงแบบที่เราส่งเสริม

นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจริงๆ ก็อาจไม่ถูกผลักดันเท่าที่ควร ถ้าขัดกับความเคยชินและความติดสบายของประชาชน ที่มิได้ฝึกขัดใจตนเองจากกิเลส เพราะเราก็จะไม่ได้ช่วยกันผลักดันนโยบายเหล่านั้น มากเท่ากับนโยบายแจกเงินหรือความสะดวกสบายชั่วคราว

…ช่องว่างในจิตใจ การขาดความเคารพคุณค่าในตนเอง และความรู้สึกไร้อำนาจของประชาชน ต่างเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดบุคคลจอมพลังและศาลเตี้ย ซึ่งแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นกลไกตามธรรมชาติทื่เกิดขึ้นเพื่อถ่วงดุลความอยุติธรรมในสังคม

แต่เมื่อประชาชนยกเอาคุณค่าของตนเองและความรู้สึกไร้อำนาจ ไปคาดหวังบุคคลสำคัญของคนในสังคมมากเกินไปแล้ว บุคคลสำคัญเหล่านั้นก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง กำหนดความผิดถูกหมุนรอบอัตตาตนและเสียงของแฟนคลับ กอบโกยผลประโยชน์จากชื่อเสียง ทำให้เงินและโอกาสไหลไปหาบุคคลบางกลุ่มมากเกินไป จนบั่นทอนโอกาสของประชาชน และเมื่อนั้นเราก็อาจบั่นทอนให้รัฐและกระบวนการยุติธรรมอ่อนแอลง เพราะรัฐและกระบวนการยุติธรรมก็จะหวังพึ่งพาบุคคลเหล่านี้ มากกว่าส่งเสริมการปฏิรูปตนเอง

…การขาดความมั่นคงทางจิตใจ และความไม่สามารถยอมรับหรือจัดการกับความทุกข์ของชีวิตในจิตใจประชาชนนั้น ต่างเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้สถาบันทางจิตวิญญาณเติบโตขึ้นเป็นจอมพลัง เมื่อนั้นความศรัทธาก็จะไหลทะลักเข้าไปในสถาบันเหล่านั้น และปล่อยให้พวกเขาสร้างอิทธิพลทางความคิดและค่านิยมในสังคม แต่ประชาชนจะหลงลืมศรัทธาที่สำคัญบางอย่างไป

นั่นคึอศรัทธาของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน กับเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิด และศรัทธาที่ว่าเราคือมนุษย์ที่สามารถฝึกตนเองยิ่งกว่าสัตว์อื่นใด ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนาและเชื่อว่าในศาสนาอื่นก็ด้วยเช่นกัน

.

…เมื่อประชาชนลืมศรัทธาของเกิดมาเป็นมนุษย์และศรัทธาของการฝึกตนเอง เมื่อนั้นก็จะยิ่งส่งเสริมให้รัฐเป็นจอมพลัง บุคคลสำคัญเป็นจอมพลัง และสถาบันทางจิตวิญญาณเป็นจอมพลัง แต่พวกเราที่เป็นจุดศูนย์กลางทั้งหมดนี้กลับเป็นทาส

เราจำเป็นต้องมีสามด้านนี้อย่างสมดุล โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เราจำเป็นต้องมีรัฐที่มั่นคงเพื่อดูแลภาพรวมของสังคม เราจำเป็นต้องมีบุคคลจอมพลังเพื่อรวมพลังของคนหมู่มากไปด้วยกัน และเราจำเป็นต้องมีสถาบันทางจิตวิญญาณที่ชอบธรรมเพื่อเป็นตัวอย่างของคุณธรรมและการพัฒนาตนเอง

แต่ประชาชนไม่พึงผลักภาระทางสังคมและคุณภาพชีวิตตนเอง ไปให้ทั้งสามด้านนี้หรือด้านใดด้านหนึ่ง หรือส่งเสริมให้พวกเขาเป็นจอมพลังมากเกินไป

เรามีหน้าที่ในการพึ่งพาตนเองและหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยตัวเองด้วย เราทุกคนคือคนสำคัญที่จะรักษาสมดุลของสามด้าน ทั้งรัฐ บุคคลสำคัญ และสถาบันทางจิตวิญญาณ และเรามีคุณค่าเพียงพอที่จะส่งเสริมคุณค่าของทุกชีวิต และรักษาศรัทธาในการฝึกตนเองให้มีจิตที่หลุดพ้นจากทุกข์

เมื่อประชาชนลดความโลภ ความโกรธ และความหลงเมามายในจิตใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญหนึ่งในการก่อทุกข์แก่ตัวเองและผู้อื่น จิตใต้สำนึกร่วมจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งสามด้าน เราจะไม่ส่งเสริมนักการเมืองที่หวังขายนโยบายประชานิยม และกลยุทธ์ส่งเสริมกิเลสเพื่อได้คะแนนเสียงมามีอำนาจ เราจะไม่ปล่อยให้บุคคลสำคัญทำตามใจตนเองมากเกินไป และเราจะไม่ปล่อยให้ศรัทธาครอบงำใจหรือหวั่นเกรงกันมัน จนไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะกลัวความผิดบาปหรือกลัวโดนล่าแม่มด

ในขณะเดียวกัน หากเราเห็นคุณค่าในตนเองเพียงพอ เราจะไม่มัวแต่วิจารณ์หรือใส่ใจจ้องจับผิด แต่ใส่ใจหน้าที่ในการฝึกพัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อมิให้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสิ่งเลวร้ายหรือความมืดมนในสังคมโดยไม่รู้ตัว

ด้วยความหวังว่าเยาวชนจะเห็นตัวอย่างที่ดีจากผู้ใหญ่ ที่มากกว่าเพียงคำพูด และนำตัวอย่างที่ดีนั้นทำสิ่งที่ดีมากกว่าในวันข้างหน้า

วันนี้เรามีส่วนรับผิดชอบอย่างไรต่อความดีงามและความเสื่อมโทรมทางสังคม
และวันนี้เราเป็นตัวอย่างที่ดีและแย่อย่างไรให้แก่รุ่นน้อง รุ่นลูก และรุ่นหลานของเรา นี่คือสิ่งที่ผมถามตัวเองและนักเรียนของผมในวัยผู้ใหญ่ทุกคน

.

ครูโอเล่
สถาบันธรรมวรรณศิลป์
29/10/68

คอลัมน์ ไกด์โลกจิต

เขียนส่งท้ายการสอนหลักสูตร “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” รุ่นสิบ