ครบรอบ 17 ปี สถาบันธรรมวรรณศิลป์

 

อ่านเอกสาร 17 ปี สถาบันธรรมวรรณศิลป์

 

“17 ปี ธรรมวรรณศิลป์ หากเปรียบเป็นคน เราก็เพิ่งเป็นวัยรุ่นได้ไม่นาน ยังเปี่ยมด้วยพลังและโอกาสในการค้นหาตนเอง เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่ภายในและสังคมต่อไป แม้รู้จักตัวเองในช่วงวัยนี้แล้วถึงศักยภาพ ความเก่ง และจุดยืนที่ภาคภูมิใจ แต่ก็ยังอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายและคงยังมีหนทางที่น่าสนใจที่รอวัยรุ่นคนนี้อยู่ ความมั่นคงอาจจะยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องใส่ใจในเวลานี้ แต่อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ทดลอง ลงมือทำ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างต่อเนื่องในโลกที่กว้างขึ้นจากวัยเยาว์ในช่วงเริ่มแรก

“ผมถามตัวเองว่าถ้าโครงการนี้คือลูกของตนเอง และเขาเพิ่งมีอายุได้ 17 ขวบปี ผมจะดูแลเขาอย่างไร จะเคี่ยวเข็ญให้เขาจะต้องมั่นคงและมีแนวทางของตนเองที่ชัดเจนไปเลยหรือไม่ ข้อความข้างต้นคือคำตอบที่บอกกับตัวเองและนักเรียนหลักสูตร “เขียนเปลี่ยนชีวิต” รุ่นที่ 57 การเปลี่ยนมุมมองจากที่เห็นว่าโครงการนี้ทำมาตั้งสิบกว่าปีจะยี่สิบปีแล้ว เป็นการมองว่าเขาเพิ่งจะเป็นวัยรุ่นเท่านั้นเอง ทำให้มุมมองและความรู้สึกบางเรื่องเปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ

“การยืนหยัดบนหนทางนี้ ในแนวทางที่พยายามลด-ละ-เลิกการขอทุน ไม่ใช่เรื่องง่าย การอดทนอดกลั้นและหาสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการกุศลเป็นเรื่องที่ท้าทายตลอดทางที่ผ่านมา การสร้างมุมมองใหม่ๆ แก่ผู้คนในวงกว้างต่อการเขียน การสะกดจิต ไพ่ทาโรต์ และการส่งเสริมธรรมะ เป็นทั้งความสนุกและความยากในหลายช่วงเวลา บางถ้อยคำที่คลางแคลงและถากถางก็ยังจดจำได้ในใจ แต่ถึงวันนี้ในสิ่งที่เพียรสร้างขึ้นในร่มเงาของ สถาบันธรรมวรรณศิลป์ที่ค่อยๆ เติบโต ก็เริ่มเห็นดอกไม้ที่งอกงามมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

“เรามักจะเห็นภาพในสังคม ผ่านการทำงานของภาครัฐ หรือแม้แต่โครงการเพื่อสังคมขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้งบมหาศาล เพื่อหวังขับเคลื่อนสังคมหรือสร้างการเปลี่ยนแปลง จนเหมือนจะเป็นภาพจำว่า ต้องมีเงินทุนมหาศาล ต้องเป็นคนรวย หรือไม่ก็ต้องระดมทุนหรือขอเงินบริจาคได้มากๆ จึงจะเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่สังคม

“สมัยเป็นนักเรียนผมเคยทำโครงการบริจาคสมุดให้กับห้องสมุด ด้วยการเดินถือกล่องรับบริจาคเงินและรับบริจาคหนังสือ เมื่อเสร็จสิ้นการรับบริจาคและเตรียมซื้อหนังสือจากเงินที่ได้มา ผมบอกครูที่โรงเรียนว่า ได้บริจาคมาประมาณ 8,000 บาท ครูตอบว่าได้เท่านี้จะได้หนังสือสักกี่เล่ม… ผมตกใจไม่มากก็น้อยที่ได้ยินสิ่งที่ครูบอกมา แม้จะเห็นด้วยว่ามันไม่ใช่จำนวนมาก แต่มันสำคัญถึงขนาดนั้นเลยหรือ และจำนวนเท่านี้กับเด็กที่บางครั้งก็ต้องขอยืมเงินจากเพื่อน มันไม่น้อยเลย

“ผมตั้งคำถามว่า เราจะเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยเม็ดเงินที่ไม่ได้มากมายมหาศาลไม่ได้หรือ ทำไมโครงการเพื่อสังคมจะอยู่รอดได้ต้องอาศัยการขอทุนเท่านั้น และคำถามอีกมากมายที่พาผมกับโครงการนี้จากจุดนั้นมาสู่จุดที่ยืนอยู่ ณ วันนี้ ผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเงินที่มากมายที่จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้ แต่การเปลี่ยนแปลงล้วนมาจากสิ่งเล็กๆ ที่ค่อยๆ ส่งผลสะเทือนอย่างต่อเนื่องไปยังภาพรวมและระบบในสังคม แม้มาจากการกระทำเล็กๆ ที่ไม่มีใครเห็นหรือไม่ได้เป็นที่รับรู้มากนักก็ตาม

“สิ่งที่ผมภูมิใจในการพาโครงการมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองรวยแล้วจึงให้ ไม่ใช่เพราะว่ามีมากแล้วจึงสามารถเป็นผู้ให้ แต่ภูมิใจที่เราสามารถที่จะให้มากกว่าในสิ่งที่มี น่าภูมิใจที่บางครั้งก็มีเงินติดตัวเพียงหลักร้อย แต่โครงการก็ยังก้าวเดินต่อไปได้และยังสามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ในการพัฒนาสุขภาวะจิตใจและปัญญา โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอการขอทุนเหมือนในอดีตอีกแล้ว และแม้ว่าจะต้องลุ้นกับค่าเช่าบ้าน/สำนักงานโครงการ แต่ผลลัพธ์จากงานสอนและกิจกรรมต่างๆ ก็งอกงามกลบความกังวลเหล่านั้นไป

“อย่างไรก็ดี แม้จะยึดการพึ่งพาตนเองเพียงใด การได้รับโอกาสและการสนับสนุนจากบุคคลต่างๆ ทั้งที่เป็นศิษย์เก่า เพื่อน ผู้ติดตาม ครูอาจารย์ คนใกล้และคนไกล ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยผลักดันให้วัยรุ่นอายุ 17 ขวบปีที่ชื่อ ธรรมวรรณศิลป์ ได้ก้าวย่างมาอย่างสม่ำเสมอและค้นหาตนเองจนมาถึงวันนี้ บุญกุศลเหล่านี้ก็ขอให้มีแก่ทุกท่านมิว่าทางใดเสมอ”

ครูโอเล่
30-5-68