“ฟังครูในเรา-เวทนา”

 

“ฟังครูในเรา-เวทนา”

 

“ฟังครูในเรา-เวทนา”

ไม่มีเหตุการณ์ที่ดีหรือไม่ดี มีแต่เวทนาหรือความรู้สึกจากการรับรู้ที่ชอบและไม่ชอบเท่านั้น

เมื่อเจอสิ่งใดแล้วเกิดความรู้สึกชอบใจในภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือพลังงานที่รับรู้ จิตใจเราก็มักตีความว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่ดี

เมื่อเจอในสิ่งตรงข้ามกันจิตเราก็มักตีความว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี หรือเรื่องเฉยๆ หากรับรู้แล้วไม่ได้เกิดความรู้สึกที่โดดเด่นขึ้นมา

ทั้งที่จริงแล้วเหตุการณ์ที่เจอแล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ เหตุการณ์นั้นอาจเป็นครูและของขวัญที่จำเป็นต่อชีวิต

สิ่งที่รับรู้แล้วเฉยๆ อาจช่วยให้ใจเป็นกลาง มั่นคง และสงบได้มากทั้งสองแบบก่อนหน้า แต่เมื่อจิตใจไม่ได้ให้ค่าก็อาจไม่สนใจในครูหรือของขวัญที่มากับความรู้สึกเฉยๆ เหล่านี้

มีครูอยู่ในเวทนาหรือความรู้สึกทุกรูปแบบ เหมือนที่มีครูอยู่ในทั้งเรื่องดีและร้ายของชีวิต

เราจะเป็นนักเรียนชีวิตที่ดีมากเพียงใด อยู่ที่เราฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งในชีวิตประจำวันได้มากเพียงใด

การฟังอย่างลึกซึ้งไม่ใช่เพียงการฟังสิ่งๆ หนึ่งหรือคนอื่นอย่างตั้งใจ แต่การฟังอย่างลึกซึ้งเริ่มที่การมีสติรับรู้ทุกเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตัดสิน

ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็รับรู้เพื่อปล่อยวาง… ปวดขา ปวดหลัง ปวดไหล่ หรือรู้สึกดีตรงจุดใด รับรู้เพื่อปล่อยวาง… ได้รับรู้แล้วรู้สึกดี ไม่รู้สึกดี ก็ไม่ได้ให้ค่าในเวทนาใดเป็นพิเศษ

ดำรงในปัจจุบัน เหมือนต้นไม้ที่เฝ้าสดับและรับรู้ในทุกๆ สิ่งภายนอกและภายในตน

เป็นผู้รับฟังที่ดีในเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกายในจิตอย่าง “ฟังหูไว้หู” ไม่ผลักไสและไม่ยึดติดกับความรู้สึกใดมากเกินไป ไม่ตัดสินว่าความรู้สึกใดดีหรือไม่ดี มีแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมา เพื่อสื่อสารบางอย่าง และลับหายไปเท่านั้น

การฝึกเจริญสติที่ความรู้สึกในกายเช่นนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราต้องการพ้นไปจากเรื่องร้ายในชีวิต เพราะการจะพ้นจากเรื่องร้ายในชีวิตอย่างแท้จริง เราต้องพ้นไปจากการยึดมั่นทั้งเรื่องดีและไม่ดี

หากยังยึดมั่นในเรื่องดีๆ ก็ยังไม่พ้นไปจากเรื่องร้ายในชีวิต เหมือนกำเหรียญไว้เพราะชอบด้านหัว ก็ยังมีด้านก้อยติดมือมาอยู่ดี

เมื่อตัดสินเวทนาหนึ่งว่าดีก็ย่อมตัดสินเวทนาอีกแบบว่าไม่ดี ทั้งที่จริงแล้วทั้งสองแบบนั้นต่างมาควบคู่กัน และไม่มีเวทนาใดที่ประเสริฐหรือเลวร้ายอย่างแท้จริง ต่างก็เป็นของหนักเมื่อแบกรับไว้ด้วยกันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการยึดมั่นหรือปล่อยวางต่างก็เป็นครูในเราที่สอนเราผ่านสุขและทุกข์นานาในชีวิตที่ผ่านมา

เราจะเรียนรู้จากครูที่มาสอนเรา หรือปล่อยให้ท่านพร่ำเตือนเราเรื่อยๆ ในบทเรียนที่ยากขึ้นหรือซ้ำแล้วซ้ำอีก อยู่ที่เราเลือกว่าเป็นนักเรียนแบบไหน บางครั้งความรู้สึกลบที่เกิดกับเราครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าทางกายหรือทางจิตใจ ก็อาจเป็นเสียงของครูที่พยายามเตือนเราในแบบเดิม เพียงแค่นักเรียนคนนี้ยังไม่ยอมเรียนรู้ที่จะรับฟัง

อย่ากลัวความรู้สึกที่ไม่ชอบ จนทำร้ายตัวเองไปมากกว่าเดิม หรือไม่เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นของชีวิต เพราะสุดท้ายก็ไม่มีเวทนาหรือความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดี มีแค่เราชอบหรือให้ค่ากับความรู้สึกแบบใด และไม่ชอบหรือไม่ค่ากับความรู้สึกแบบใด

ทั้งที่จริงแล้ว ทุกความรู้สึกนั้นต่างดีและร้ายเสมอกัน ยึดไว้ก็ทุกข์เหมือนกัน หนีไปก็ทุกข์เหมือนกัน ยอมรับและวางลงได้ก็เบาสบายเหมือนกัน

ไม่มีความรู้สึกใดที่อยากทำร้ายเรา ต่อให้แม้เป็นความเศร้า ความเจ็บปวด หรือความโกรธ เป็นแค่เสียงของครูแบบหนึ่งในเรา และไม่ว่าครูคนนี้จะสมบูรณ์แบบหรือไม่ก็ตาม ท่านมีบทเรียนที่ดีจะมาสอนเราเสมอ

อย่างน้อยบทเรียนนั้นก็มีชื่อว่า อนิจจัง…

ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์
คอลัมน์ ไกด์โลกจิต

*เนื้อหานี้จากช่วงท้ายของกิจกรรม ฟังครูในเรา ประจำปี 2568 (ห้องเรียน วิถีครู รุ่นที่ 7)

 

ติดตามและสมัครเข้าร่วมการอบรม