“วัดในอุดมคติของฉัน จะต้องงามด้วยวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร มิใช่งามด้วยสิ่งก่อสร้างต่างๆ วัดจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องทางจิตใจมากกว่าเรื่องทางวัตถุ คือ วัดต้องเป็นสถานที่ที่ชี้นำอบรมสั่งสอนประชาชนให้เข้าถึงแก่นของศาสนธรรม มีเหตุผล เกิดปัญญาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตหรือในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข มิใช่อบรมสั่งสอนให้ประชาชนงมงายในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือแม้กระทั่งสอนให้ “หลงบุญ” และ “บ้าบุญ” หลงสร้างโบสถ์ วิหาร สิ่งก่อสร้าง หรือสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เป็น “จุดขาย” อันโอ่อ่าสวยงามอย่างหน้ามืดตามัว โดยเห็นความสำคัญทางเรื่องจิตใจเป็นรอง
“พระในวัดจะต้องมีศีลาจารวัตรในการครองสมณเพศ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ครองศีล ครองธรรม ต้องมีความรู้สำหรับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและอบรมสั่งสอนประชาชน ต้องเป็นต้นแบบและเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการประพฤติปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชน มิใช่เป็นพระทุศีล หรือเป็น “โจรในคราบผ้าเหลือง” ปล่อยให้กิเลสตัณหามาแฝงเร้นครอบครองจิตใจ
“พระภิกษุสงฆ์จึงต้องเป็นผู้ที่มี “สัจจะ” คือ ความสัตย์ซื่อ ประพฤติจริงและประพฤติตรง ทั้งต่อความดี ต่อหน้าที่ ต่อการงาน ต่อวาจา และต่อบุคคล ถึงแม้ว่าสัจจะอาจเปรียบเทียบได้ดุจยาขม ที่มีรูป รส กลิ่น สี ไม่เย้ายวนชวนให้ดื่มกิน การที่จะกลืนลงคอไปก็ทำได้ยาก เพราะขัดต่อกิเลสอันเป็นธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันหากกลั้นใจกลืนลงไป ยอมทำตัวขวางกิเลสที่มีอยู่ ยานั้นก็จักให้คุณประโยชน์อนันต์นัก สัจจะจึงเป็นคุณธรรมที่พระสงฆ์ควรถือครองและควรใช้เป็นมาตรฐานในการไตร่ตรองตน อีกทั้งต้องตระหนักอยู่เสมอว่า สมณเพศมิสมควรแก่การสะสมทรัพย์สมบัติภายนอก หากแต่มีหน้าที่ในการสร้างและแนะนำให้ประชาชนสร้าง “อริยทรัพย์” ทรัพย์ภายในอันประเสริฐต่างหาก”
.
ส่วนหนึ่งของผลงานของ น้องกิตติพิชญ์ เชาวน์ไวย โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
รางวัล “ชมเชย” ประกวดงานเขียนรางวัล ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2560
“นึกย้อนกลับไปในอดีต สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่ ผู้คนมากมายแบ่งปันกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า วัดวาอารามครึกครื้นผู้คนมาทำบุญเป็นประจำ ปฏิบัติธรรมกันอยู่เป็นเนืองๆ แล้วเหตุใดเล่าอะไรที่ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนไป?
“สิ่งที่มองเห็นได้ชัดคือ หนึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆที่เข้ามาในสังคมไทยซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆและพัฒนาขี้นอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันหรือเป็นชีวิตของคนบางคนก็มี สอง จิตใจ ใจคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จะเปลี่ยนไปมาเมื่อมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น ทำให้เกิดความสนใจ หลงระเริงหรือลุ่มหลง สาม ความนิยม ค่านิยม เมื่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยน กระเเสในสังคมก็เปลี่ยนเช่นกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่กับ”อะไรที่ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลง”แต่อยู่ที่”อะไรที่จะทำให้ใจเราไม่เปลี่ยนแปลง”ไม่เปลี่ยนไปตามสังคม ไม่เปลี่ยนไปตามสิ่งที่อยู่รอบกายคนส่วยใหญ่มักจะมองข้างสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นแล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้ใจเราไม่เปลี่ยนไปตามสิ่งเหล่านั้น
“ใจที่ไม่เปลี่ยนไปตามสิ่งที่มาสัมผัสจะต้องเป็นใจที่หนักแน่นโดยเป็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งการที่จะฝึกได้นั้น จะต้องฝึกในที่สงบ ขณะเดียวกันก็ต้องมีผู้คอยสอนคอยชี้แนะให้คำแนะนำ หากไม่ฝึกในที่ที่สงบใจจะนิ่งได้อย่างไร และหากไม่มีผู้ชี้แนะจะฝึกได้ถูกต้องได้อย่างไร ซึ่งสถานที่ที่มีทั้งสองอย่างนั้น นั่นก็คือ “วัด”วัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน อันเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา”
.
ส่วนหนึ่งของผลงานของ น้องพัณนิตา พรมหากุล โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา รางวัล รองชนะเลิศ ประกวดงานเขียนรางวัล ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2560
“ฉันวาดรูปวัดในหมู่บ้านของฉันที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กอยู่เต็มทั่วเขตของวัด มีชาวบ้านเกือบยี่สิบคนได้ในรูป จักรยานและมอเตอร์ไซค์รวมกันได้สิบคัน ศาลาที่กว้างและมีลมโชยเข้ามาอยู่ตลอด และหยิบใบที่สองขึ้นมาเพื่อวาดรูปวัดที่ฉันเหยียบธูปมาเมื่อเช้า ที่มีผู้คนพลุกพล่าน มีพระเดินสวนกับญาติโยมอยู่เป็นระยะ ๆ มีสาวนุ่งกระโปรงสั้นบ้าง ตัดผมทรงประหลาดบ้าง ปะปนกันไป และมีเจดีย์องค์งามตั้งอยู่ตรงกลางรูป ฉันเปรียบเทียบรูปทั้งสองฉันมองเห็นความสวยงามของเจดีย์ในรูปที่สอง แต่ฉันกลับเห็นความน่าอยู่ในรูปแรก
.
“ วัด ” เป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ และยังเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจของพุทธศาสนิกชน เป็นสถานที่ที่ให้ผู้คนได้ทำจิตใจให้สงบ อยู่กับตัวเองให้เป็น แล้วในปัจจุบันนี้ ผู้คนให้ความหมายกับวัดว่าอย่างไร วัดหลายแห่งถูกตั้งขึ้นให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำอำเภอหรือจังหวัด ฉันไม่ได้ขัดข้องกับความโด่งดังและชื่อเสียงของวัด และฉันก็ไม่ได้มีปัญหากับชาวพุทธท่านอื่น ๆ ที่เข้ามาในวัด แต่ฉันเพียงอยากรู้ว่าในเมื่อฉันเป็นชาวพุทธ หากฉันมีจิตใตที่ฟุ้งซ่าน ฉันก็คงต้องไปวัดเพื่อทำจิตใจให้สงบ แต่มาถึงวันนี้ปัจจุบันนี้ที่วัดกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามา อย่าว่าแต่ฉันเลย หากแต่พระท่านยังคงอยู่ในวัดพระท่านก็คงไม่มีสมาธิที่จะมาทำจิตใจให้สงบหรอก”
.
ส่วนหนึ่งของผลงานของ น้องวรินทรา แหกาวี เยาวชนผู้ได้รับรางวัล ชนะเลิศ ประกวดงานเขียนรางวัล ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2560
“วัดมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยเรามาก ฉะนั้น หากวัดที่ซึ่งเป็นที่พักพิงนั้น ไม่ได้เป็นแหล่งพักพิงให้เราจริงๆ วัดจะกลายเป็นสถานที่ที่คนไม่ให้ความเคารพนับถือใดๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คนไทยเราห่างจากศาสนามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราจึงต้องหันมาใส่ใจว่าวัดที่ดีและน่าเคารพนับถือนั้นควรจะเป็นอย่างไร แต่อย่างแรกที่เราต้องมองให้ออกว่า เพราะเหตุใด คนไทยสมัยนี้ถึงได้ขาดความเชื่อถือในศาสนาพุทธ
“การที่คนไทยขาดความเคารพนับถือในศาสนา เป็นเพราะว่าผู้ที่บวชเข้าไปอยู่ในวัดนั้น ไม่มีความเป็นพระ อย่างชื่อที่เรียกจริงๆ จากที่เราได้เห็นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ เรามักจะเห็นข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระเต็มไปหมด ทั้งพระที่ยุ่งเกี่ยวกับสีกา พระที่ดื่มสุราและสูบบุหรี่ พระที่หากินกับความศรัทธาของคน หรือแม้กระทั่งพระที่ห่มผ้าเหลืองเพื่อหนีคดีความ และเมื่อคนที่เรียกตัวเองว่าพระ คนที่เป็นตัวแทนเผยแพร่ศาสนานั้นไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรมอย่างที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ จึงเป็นสาเหตุให้คนไทยเราขาดความเชื่อถือในศาสนา และบางครั้งยังมีผู้ไม่หวังดี พยายามสร้างคำสอนขึ้นมาโดยอาศัยปากบอกว่าเป็นคำสอน เผยแพร่คำสอนผิดๆ ทั้งเรื่องการกราบไหว้ขอพร หรือการสะเดาะเคราะห์ จนทำให้มีคนไทยบางส่วนหลงเชื่อ แต่คนไทยบางส่วนนั้นไม่เชื่อ และทำให้มองพุทธศาสนาเป็นเรื่องไร้สาระไปในที่สุด
“ในสมัยเด็กๆนั้น ฉันมักชอบเวลาที่ได้ไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ เพราะได้ไปกับครอบครัว แต่เมื่อยิ่งโตขึ้น ฉันก็ได้มองเห็นความจริง ว่าพระที่ฉันเคารพนับถือและกราบไหว้ ท่านนั้นสอนความเชื่อผิดๆให้กับผู้คน ทำให้ชาวบ้านมากมายบริจาคเงินให้วัด แล้วพากันขอพรต่างๆ บางทีการที่พวกเขาได้ทำแบบนั้นอาจจะทำให้พวกเขาสบายใจ และมีแรงใจในการทำมาหากินต่อไป ตอนเด็กๆฉันมองเพียงแค่นั้น แต่เมื่อโตขึ้น ฉันถึงได้คิดให้มากขึ้นว่าการที่เขาทำบุญและขอพร มันทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงชั่วครู่ หากเขาไม่อาจปล่อยวางได้ และคนที่ควรจะสอนเขาเช่นพระสงฆ์กลับไม่บอกสอนทางออกแห่งทุกข์ที่แท้จริงได้ เขาก็จะวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งทุกข์นี้ดั่งเดิม
“ฉันจึงมองว่าวัดนั้นควรจะช่วยกันเผยแพร่คำสอนที่ถูกต้องให้กับชาวบ้านที่ไปทำบุญที่วัด คอยบอกหลักธรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ หากแต่ยังมีคนบางส่วนที่มองว่าตนนั้นทำไม่ได้ ผู้ที่สามารถอยู่ในธรรมได้นั้นมีเพียงพระที่ละทางโลกแล้ว ก็อยากให้พระท่านนั้นชี้แนะว่าไม่เป็นความจริง หลักธรรมที่สามารถอยู่ร่วมกับทางโลกและทำให้พ้นทุกข์นั้นมีอยู่ ก็คือการปล่อยวาง ไม่ยึดติดในอัตตาตัวตนใดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับตัวพระท่านเองว่าปฏิบัติตามคำพูดนั้นได้จริงหรือไม่ หากบอกให้ญาติโยมปล่อยวางเสีย แต่ตนยังยึดมั่นในเงินทองที่ได้จากการบริจาค ยังยึดมั่นจากชื่อเสียงที่ดังกระฉ่อน หากยังเป็นเช่นนั้นคงไม่มีใครเชื่อถือในศาสนาพุทธจริงๆ
“สภาพแวดล้อมนั้นก็สำคัญสำหรับวัดเช่นกัน หากเป็นพื้นที่ที่มีความสงบ ร่มรื่น อากาศถ่ายเทสะดวก ก็จะทำให้การปฏิบัติธรรม นั่งสมาธินั้นได้ผลดีมากขึ้น ในพื้นที่ที่ฉันอยู่นั้น มีวัดที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยอยู่ จึงทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตามาเยี่ยมชมกันเยอะมาก แต่เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวเยอะ จึงต้องมีที่จอดรถเยอะเช่นเดียวกัน และนั่นทำให้วัดแห่งนี้แทบจะไม่มีต้นไม้เลย ทำให้วัดแห่งนี้นั้นมีอากาศที่ร้อนมากๆเพราะไม่มีร่มเงาของต้นไม้ใบหญ้า อีกทั้งควันจากรถยนต์ และกลิ่นอาหารจากร้านที่เข้ามาตั้งแผงขายของ ถือว่าเป็นอุปสรรคขนาดใหญ่ในการพักผ่อนหย่อนใจเลยทีเดียว และหากเรากำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น แล้วสูดเข้าไปทั้งควันพิษและกลิ่นอาหาร การนั่งสมาธิที่ทำคงส่งแต่ผลร้าย เพราะสิ่งกวนใจเหล่านี้ล้วนทำให้เราฟุ้งซ่าน อาจจะเพราะอาการปวดหัว หงุดหงิดจากควันเสีย หรือความอยากอาหารที่เกิดขึ้นจากกลิ่นที่มาก่อกวน ฉันจึงไม่ค่อยชอบวัดแห่งนี้เท่าไหร่ เพราะสิ่งที่คนมุ่งหวังและวัดแห่งนี้ตอบสนองคือการขอพรจากรูปหล่อของพระพุทธองค์เท่านั้น
“ฉะนั้น ฉันจึงหวังว่าวัดในประเทศไทยทุกแห่งหรือบางแห่งมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น คนที่เข้าไปบวชเป็นพระ ต้องเข้าไปบวชด้วยใจที่ต้องการศึกษาธรรมอย่างจริงจัง ไม่ใช่เป็นพระที่หวังฉวยโอกาสหากินกับความเชื่อของคน ไม่ยึดติดกับเงินทองที่คนเอามาบริจาค แต่หากเป็นการบริจาคเพื่อค่าน้ำค่าไฟหรือการบำรุงพุทธสถานนั้นก็ขึ้นอยู่กับคนศรัทธา ไม่ต้องไปเดินเรี่ยไรขอบริจาคตามบ้าน เพราะการศรัทธานั้นขึ้นอยู่กับตัวพระท่านเองว่าน่าศรัทธาหรือไม่ ซึ่งความน่าศรัทธานั้นก็เกิดขึ้นจากว่าท่านปฏิบัติตามคำสอนได้จริงรึเปล่า และท่านมีใจเผยแพร่หลักธรรมให้ชาวบ้านพ้นทุกข์หรือไม่ ไม่เป็นพระที่บวชเพื่อหนีความผิด ไม่เป็นพระที่ยังยุ่งเกี่ยวกับสีกาและสุราเมรัย เพราะถ้าหากศีล ๕ ยังไม่อาจจะรักษาได้ หลักธรรมอื่นท่านคงไม่อาจเข้าใจและทำได้เช่นกัน และนั่นจะนำมาซึ่งความเกลียดชังต่อศาสนาพุทธของคน และสุดท้าย คือไม่เป็นพระที่ยึดติดกับชื่อเสียง เมื่อยึดติดกับชื่อเสียง จึงพยายามสร้างสิ่งแปลกๆขึ้นมาในบริเวณวัด เพื่อให้เป็นที่น่าสนใจ คนจะได้เข้ามาเที่ยวเยอะๆ คนได้เข้ามาทำข่าว แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรมไป และวัดก็จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมือนกับสวนสัตว์ที่มีเพียงไว้ชี้นิ้วให้ลูกดูสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดแต่ไม่อาจทำหน้าที่เป็นพุทธสถานอย่างที่ควรจะเป็นได้เลยแม้แต่นิดเดียว
.
ส่วนหนึ่งของผลงานของ น้องบุษปศร บุณยศิริศรี เยาวชนผู้ได้รับรางวัล ชมเชย ประกวดงานเขียนรางวัล ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2560