กำจัดฝุ่นภายใน ต้องขัดใจตัวเอง

 

“กำจัดฝุ่นภายใน ต้องขัดใจตัวเอง” #คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต

 

ปัญหาฝุ่นและมลภาวะทางอากาศกำลังบั่นทอนชีวิตของคนไทยและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้ผู้เขียนบทความของคอลัมน์นี้ก็ได้รับกรรมร่วมเช่นเดียวกัน แต่ในช่วงที่ป่วยจากฝุ่น PM 2.5 ผมแลเห็นว่าเขาก็เป็นครูสอนปริศนาธรรมกับเราด้วย

เพราะนอกจากฝุ่นที่อยู่ภายนอกกายแล้ว ก็มีฝุ่นอีกแบบที่อยู่ภายในจิตใจของเราเอง ที่เป็นมลภาวะบั่นทอนชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน และทั้งสองฝุ่นนี้ต่างมีจุดร่วมของการก่อกำเนิดและการกำจัดที่น่าสนใจ

ฝุ่นภายในที่กล่าวถึง ซึ่งเรียกว่า “นิวรณ์” เปรียบเสมือนเมฆหมอกที่บดบังปัญญาและแสงสว่างภายในตัวเรา อีกทั้งยังทำให้จิตใจไม่สงบ เครียดง่าย มีใจที่ป่วยอ่อนแรง ขาดพลังในการทำสิ่งต่างๆ ได้ง่าย เหมือนกับฝุ่นในอากาศที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เครียดในการใช้ชีวิต และพาให้จิตใจเศร้าหมองไปด้วย

นิวรณ์ แบ่งออกเป็น 5 อย่างคือ

1. กามฉันทะ – เป็นอาการของใจที่พยายามกอดรัดสิ่งที่ชอบใจ อาทิ ความเพลิดเพลิน ความพอใจ และความคาดหวังในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และความรู้สึก

2. พยาบาท – เป็นอาการของใจที่พยายามผลักไสบางสิ่งบางอย่าง เช่น ความโกรธ ความไม่พอใจ ความหงุดหงิดรำคาญ และการคิดร้ายต่างๆ นานา

3. ถีนมิทธะ – เป็นอาการของใจที่ห่อเหี่ยวขาดพลัง เช่น ความซึมเศร้า ความหดหู่ ความขี้เกียจ ความเบื่อหน่าย และความท้อแท้ใจ

4. อุทธัจจกุกกุจจะ – เป็นอาการของใจที่พองฟูและกระจัดกระจาย เช่น ความฟุ้งซ่าน ล่องลอย และความลิงโลดใจ

5. วิจิกิจฉา – เป็นอาการของใจที่หาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้และแกว่งไปมา เช่น ความโลเล ความลังเลสงสัย ความไม่เชื่อมั่น และขาดศรัทธา

จิตใจของทุกคนมีปัญญา ผู้นำทาง หรือแสงสว่างที่อยู่ภายในอยู่แล้ว เมื่อใดที่นิวรณ์ทั้งห้าอย่างนี้เกิดขึ้น เมื่อนั้นก็เหมือนเมืองที่ถูกหมอกฝุ่นปกคลุมจนมัวหมอง ทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวันหรือเช้าแล้วก็ตาม

เวลาย้อนมองตนเอง ต้องมองให้ทะลุม่านหมอกที่ปกคลุมจิตใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

แม้เราอาจเห็นตัวเองเป็นคนชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ โกรธอย่างนั้นอย่างนี้ หรือมองเห็นความเศร้าหมองภายใน ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ หรือเห็นความลังเลสงสัยในใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงฝุ่นที่คลุ้งปกคลุมสิ่งที่เราเป็นและปัญญาที่แท้จริงในตนเอง มิใช่ตัวตนของเรา เหมือนเมืองไทยที่ความงดงามส่วนหนึ่งได้ถูกบดบังลงไป เพราะมลภาวะในอากาศ

ผลกระทบของฝุ่นภายนอกและภายในล้วนแต่บั่นทอนชีวิต และบดบังทัศนวิสัย ซึ่งหากเป็นฝุ่นภายในก็คือบั่นทอนความคิดและการตัดสินใจ มิสามารถใช้ปัญญาได้อย่างเต็มที่

บ่อเกิดของฝุ่นทั้งสองอย่าง ต่างมีจุดร่วมกันคือ ความโลภ-โกรธ-หลง และการเอาความสบายหรือความเคยตัวเป็นที่ตั้ง

ความโลภ-โกรธ-หลง หรือราคะ โทสะ และโมหะ คือรากเหง้าของกิเลสทั้งหลาย เรียกว่า “อกุศลมูล” เป็นมลภาวะทางจิตใจที่ถูกสะสมมายาวนาน แบบเดียวกันกับฝุ่น PM 2.5 ที่มิใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นจากกิจกรรมหลายๆ อย่างของมนุษย์ ซึ่งเราทุกคนต่างมีส่วนร่วมในการปล่อยมลภาวะนี้ออกมา ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

การทำตามความโลภ ความโกรธ และความหลง อย่างขาดสติปัญญา ทำให้เราสร้างมลภาวะทางจิตใจที่เรียกว่า นิวรณ์ ให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในจิตใจของเรา เพราะการทำตามความโลภ-โกรธ-หลง ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความโลภ-โกรธ-หลงให้มีมากขึ้นในจิตใจเป็นทวีคูณ นอนเป็นตะกอนอยู่ในจิตใต้สำนึก

เมื่อใดสิ่งเหล่านั้นภายในจิตใจถูกกระตุ้น ก็จะฟุ้งกระจายกลายเป็นหมอกควันภายใน เหมือนตะกอนในน้ำที่ถูกกวนแล้วก็จะทำให้น้ำขุ่นขึ้น หรือฝุ่นที่อยู่บนพื้นถูกพัดให้ฟุ้งกระจาย นิวรณ์จึงเกิดขึ้นในจิตใจเราเช่นนั้น ไม่แตกต่างจากปัญหาเรื่องฝุ่นและมลภาวะต่างๆ ที่อยู่ในบรรยากาศ ซึ่งทั้งถูกสร้างและถูกสะสม ทับถมเป็นปัญหายืดเยื้อเรื้อรัง

ฝุ่นเหล่านั้นที่อยู่ภายนอกตัวเราก็เกิดจากอกุศลมูลของพวกเราเช่นกัน อาทิ ความโลภอยากได้ความสะดวกสบาย ยินดีพอใจกับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและทางวัตถุ ซึ่งส่งเสริมการปล่อยมลพิษ และการทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองความอยากของมนุษย์… เหล่านี้ก็เกิดจากราคะหรือความโลภ

หรือความอยากเอาชนะธรรมชาติ โกรธความเชื่องช้าไม่ทันใจ โกรธความไม่สะดวกสบายและข้อจำกัดต่างๆ ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ไม่พอใจที่ตนเองมีวัตถุหรือความสะดวกสบายน้อยกว่าคนอื่น จนกระทั่งต้องแสวงหาสิ่งเกินจำเป็น… เหล่านี้ก็เกิดจากโทสะหรือความโกรธ

การหลงมัวเมาเอาตัวเองเป็นใหญ่ ยึดติดเอาความสะดวกสบายที่ผลาญล้างทรัพยากรของโลกมาเป็นตัวตนของตน โดยไม่คำนึงว่า สิ่งที่กระทำและแสวงหานี้เป็นเพียง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเพียงความไม่เที่ยงแท้ เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน การเมามายไปกับภาพลวงตาว่าความเจริญรุ่งเรืองทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีมากขึ้น เป็นประเทศที่จะเจริญมากขึ้น… เหล่านี้ก็เกิดจากโมหะคือความหลง

ความโลภ-โกรธ-หลง เหล่านี้ ล้วนพาให้เราและลูกหลานมาจมในกองฝุ่นและบั่นทอนอายุขัยให้สั้นลง เช่นเดียวกันกับการพาให้จิตใจตนเองจมในฝุ่นที่เรียกว่า นิวรณ์ ก็ทำให้เราอยู่อย่างเป็นทุกข์และมีอายุขัยที่สั้นลงเช่นกัน

“กามฉันทะ” และ “พยาบาท” ต่างก็ทำให้ชีวิตเราหาความสุขและความสงบที่แท้จริงไม่ได้ เพราะต้องสร้างเงื่อนไขต่างๆ ผูกมัดตัวเองและผู้อื่น พาให้ตนเองถูกหลอกถูกล่อลวงด้วยสิ่งน่าดึงดูดใจต่างๆ และก่อความขัดแย้งกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ

“ถีนมิทธะ” และ “วิจิกิจฉา” ทำให้เราขาดความมุ่งมั่นในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ยอมก้าวข้ามจากอุปสรรคและสิ่งที่รบกวนใจ ทำให้จิตใจซึมเศร้าและขาดความเชื่อมั่น ส่วน “อุทธัจจกุกกุจจะ” ทำให้ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้โฟกัสไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากพอ ทำให้คิดเยอะแต่ลงมือทำน้อย และทำให้เครียดวิตกเพราะคิดไปต่างๆ นานา
หากเราเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น และไม่ส่งเสริมการกระทำที่มีส่วนร่วมสร้างและสะสมฝุ่นทั้งหลาย เราก็จะลดฝุ่นทั้งภายนอกและภายในได้สำเร็จ

สาเหตุที่เหมือนกันอีกข้อคือ การเอาความสบายและความเคยตัวเป็นที่ตั้ง ซึ่งก็เกิดขึ้นจาก อกุศลมูล ด้วยเหมือนกัน ทั้งการก่อเกิดฝุ่นภายนอกและฝุ่นภายในจิตใจ ล้วนเกิดขึ้นเพราะการขาดสิ่งที่เรียกว่า “การขัดใจตัวเอง”

การเผาที่ไม่จำเป็นก็ดี ความหละหลวมในการควบคุมสารพิษ การปล่อยให้มีเครื่องยนต์สันดาปมากเกินไป การสร้างมลภาวะทางอากาศต่างๆ และการไม่ทุ่มเทส่งเสริมพลังงานสะอาดให้มากเพียงพอ ล้วนมาจากความขี้เกียจทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเอาความสบายและความเคยตัวเป็นใหญ่ เราไม่ยอมทำสิ่งที่ยากและไม่เคยชินมากเพียงพอ ทั้งผู้สร้างมลภาวะและผู้ส่งเสริมให้มีการสร้างมลภาวะในทางอ้อม

ความเคยตัวที่จะพึ่งพาสิ่งที่ก่อมลภาวะ เหมือนภาพสะท้อนของจิตใจที่พึ่งพาความโลภ โกรธ และหลง ด้วยความเคยชิน ทั้งๆ ที่สามอย่างนี้ต่างก็สร้างมลภาวะขึ้นในจิตใจของเราและทำให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอย่างไม่มีสิ้นสุด เหมือนควันพิษที่ปล่อยออกมาสู่สังคม

เมื่อใดเราปล่อยให้ตัวเองเป็นไปตามความเคยชิน ทำสิ่งต่างๆ ไปตามความเคยตัว เมื่อนั้นที่เราปล่อยให้ความโลภ-โกรธ-หลงชักนำตัวเราไป เพราะสามสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะความเคยตัวและการทำตามความเคยชินอย่างขาดสติอยู่แล้ว

แม้พวกมันจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราและคนอื่นๆ แต่เราก็กลับพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ เหมือนควันจากรถยนต์และการเผาไหม้ของสารเคมีต่างๆ ในอุตสาหกรรมและการเกษตร ที่แม้จะฆ่าชีวิตของตนเองและคนรอบข้างไปทีละน้อย เราก็วนอยู่ในวงจรที่ต้องพึ่งพาสิ่งที่ฆ่าตัวเราเองในทางอ้อม

เราต้องรักตัวเองให้มากกว่ารักความเคยตัวและความสะดวกสบายที่ทำร้ายชีวิต เราจึงจะกล้าทำสิ่งที่เรียกว่า การขัดใจตัวเอง หากเราไม่รักตัวเองเราก็จะไม่กล้าทำสิ่งที่แตกต่าง ไม่ว่าจะในเรื่องฝุ่นเหล่านี้ หรือเรื่องอื่นๆ ที่เคยทำร้ายตนเพราะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

อีกทั้งต้องเชื่อมั่นว่า เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความเคยชินเหล่านั้นเพื่อมีความสุขและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความโลภ ความโกรธ และความหลงเพื่อพาชีวิตไปข้างหน้าก็ได้

สิ่งสำคัญอีกข้อคือต้องเข้าใจด้วยปัญญาว่า นิวรณ์ ก็ดี อกุศลมูล ก็ดี กิเลสทั้งหลาย ความขี้เกียจ และความเคยตัวทั้งมวล ไม่มีอะไรเป็นตัวเราหรือของๆ เราอย่างแท้จริง

ถ้าเรายังเห็นผิดยึดติดสิ่งใดๆ เป็นของๆ เราและถือเป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นตัวตนของเรา เราก็จะไม่ยอมปล่อยวางและไม่ยอมกำราบสิ่งเหล่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะมิใช่ของๆ เราเลยก็ตาม มันเป็นแค่ฝุ่นและมลภาวะที่มาตามปัจจัยเพื่อจะจากไป แต่เราจะทำอย่างไรไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นใหม่สะสม หรือทวีความรุนแรงมากขึ้น

คำตอบต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเรื่องมลภาวะอย่างยั่งยืน ก็มักจะเกี่ยวข้องกับการฝึกที่จะขัดใจตัวเอง และก้าวข้ามจากความเคยชิน หากประชาชนไม่ชอบการถูกขัดใจ ก็จะไม่มีรัฐบาลสมัยใดจะสามารถช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างจริงจัง เพราะพวกเขาต้องการซื้อใจประชาชนเพื่อให้ได้ตำแหน่งในสภา
ซึ่งด้วยกลไกของประชาธิปไตยก็จะเอื้อให้นักการเมืองที่ส่งเสริมความโลภ-โกรธ-หลง ได้เก่งกว่า มีโอกาสเป็นผู้มีชัยมากกว่า

ยกเว้นว่าประชาชนจะเข้าใจความสำคัญของการขัดใจตัวเองเท่านั้น จึงจะเอื้อให้นักการเมืองที่กล้าทำสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าการใช้ประชานิยมส่งเสริมกิเลส มีที่ยืนในกลไกประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง

สิ่งเหล่านี้เริ่มต้นจากการเอาชนะใจตัวเอง ไม่ใช่เริ่มต้นจากการเอาชนะผู้อื่นหรือการทุ่มเถียงกันในสังคมว่าใครเป็นผู้ผิดในการสร้างมลพิษเหล่านี้ และนักการเมืองควรรับผิดชอบอย่างไร

การเอาชนะใจตนเองเท่านั้นจึงจะกำราบฝุ่นที่อยู่ภายในจิตใจตนเอง และมีส่วนร่วมในการลดฝุ่นมลภาวะภายนอกได้อย่างยั่งยืน การเอาชนะใจในที่นี้ก็คือการขัดใจตัวเองไม่ให้ทำตามความโลภ ความโกรธ และความหลง ลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ จนเราจะได้เห็นว่า อิสระที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเราชนะความเคยชินและความเคยตัว อันมีกิเลสทั้งสามอย่างนี้อย่างไร

การขัดใจตัวเองสามารถเริ่มต้นด้วยการรู้เท่าทันและมีสติในการทำสิ่งต่างๆ ลองสังเกตว่าในการทำสิ่งนี้ เรากำลังทำด้วยสติปัญญา หรือกำลังทำไปตามความเคยชินของจิตใจ สิ่งที่คิด พูด และทำเหล่านี้ รวมทั้งการตัดสินใจ เป็นไปเพราะความโลภ ความโกรธ และความหลง กำลังจูงใจเราอยู่หรือไม่

การหยุดทำตามความเคยตัว ใช้ความช้าลงเพื่อพิจารณาตนเอง และการเห็นโทษของการพึ่งพาสิ่งที่ฆ่าตัวเรา ต้องใช้ความกล้าหาญจากข้างใน และการเคารพคุณค่าของตนเอง ตัวฉันมีคุณค่ามากกว่าความสบายและความเคยชิน

ดังคำกล่าวที่ว่า การทำความดีไม่ง่าย… ไม่ง่ายเพราะว่าเราต้องขัดใจตัวเอง แต่ความสุขและความเจริญที่แท้จริงจะเกิดขึ้นให้เรารู้สึกถึง เมื่อเราเป็นผู้ชนะกิเลสในใจ แม้เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ ตอนที่เราเลือกทำสิ่งที่แตกต่างจากอดีต ตอนที่หมอกควันเลือนหายไปจากจิตใจ แสงสว่างที่เคยซ่อนตัวก็จะสว่างสดใส

แสงสว่างนี้เองที่จะทำให้เราเป็นดั่งผู้นำทางของสังคม เพราะผู้นำคือแบบอย่างที่ดีของการขัดใจตัวเองได้ เป็นผู้เอาชนะสิ่งที่สร้างนิวรณ์ที่อยู่ภายในจิตใจตนเองได้ แม้จะเป็นเพียงชัยชนะชั่วครั้งชั่วคราว แต่เรากำลังช่วยลดฝุ่นภายในตนและสังคมไปทีละน้อยละน้อยแล้ว

 

ครูโอเล่
สถาบันธรรมวรรณศิลป์

คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต”

ปล. บทความนี้เขียนขึ้นในใจตอนที่นอนป่วยจากการสูดดมฝุ่นในเช้าวันที่ 26 มกราคม 2568

 

ติดตามบทความ
https://www.dhammaliterary.org/คอลัมน์-ไกด์โลกจิต/

ติดตามกิจกรรมอบรม
https://www.dhammaliterary.org/open-course/