จดหมายถึงศิษย์เก่าและผู้ติดตาม
✉️ ในปี พ.ศ. 2568 ถือเป็นการครบรอบ 12 ปีที่เราได้นำโครงการ สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ออกมาดำเนินงานแบบโครงการอิสระ แยกจากองค์กรเดิมที่มีการดำเนินงานแบบมูลนิธิ มาสู่การดำเนินงานแบบใหม่ที่มุ่งหวังถึงการพึ่งพาตนเองไปพร้อมกับการทำประโยชน์เพื่อสังคม
เราลดการขอทุนสนับสนุนและไม่เรี่ยไรเงินบริจาค ใช้ทุนจากรายได้ในการจัดกิจกรรม การจำหน่ายสื่อ และค่าวิทยากรของตนเอง ในการแบ่งปันสิ่งที่พอทำได้แก่สังคมในนาม สถาบันธรรมวรรณศิลป์ และมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนอย่างต่อเนื่องทุกปี
เราได้จัดกิจกรรมไปแล้วมากกว่า 255 ครั้ง และร่วมบริจาคการกุศล ทำกิจกรรมที่ไม่มีรายได้ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นมูลค่ารวม 963,148 บาท ไม่รวมต้นทุนหลายส่วนและสิ่งที่ตีมูลค่าไม่ได้ โดยทั้งหมดเริ่มจากทุน 20,000 บาทที่ผมได้รับเป็นขวัญถุงเมื่อลาออกจากองค์กรเดิมในปลายปี พ.ศ. 2556
หนึ่งรอบปีนักษัตรที่ผ่านมา เป็นเหมือนการแสวงหาคำตอบว่า หากไม่ดำเนินงานแบบมูลนิธิหรือขอรับทุนจากองค์กรต่างๆ แล้ว โครงการเพื่อสังคมโดยคนตัวเล็กจะมีแนวทางอย่างไรในการอยู่รอดและเติบโต รวมทั้งคนทำงานแบบนี้จะเลี้ยงชีพและจุนเจือครอบครัวอย่างไรให้ยั่งยืน
จากการดำเนินงานที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ได้พิสูจน์และยืนยันคำตอบแล้วว่าหนทางนี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
หลักคิดสองอย่างที่มีอิทธิพลในการดำเนินงานที่ผ่านมาคือ “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” จากท่านพุทธทาส และ “ครูคือผู้สันโดษ” จากอาจารย์ประชา หุตานุวัตร ที่สอนผมไว้นับตั้งแต่วันที่ยังไม่เป็นครูแก่ผู้อื่น
ปัจจุบันนี้ทรัพย์สินที่มีค่าที่ผมได้รับจาก 12 ปีที่ผ่านมา คือความสุข ความสงบ ปัญญาที่สามารถพัฒนาชีวิตของผู้อื่น และความภูมิใจที่ผมสามารถให้มากกว่าสิ่งที่สะสมไว้ สามารถทำประโยชน์ให้กับคนหลายพันคนได้ โดยไม่รอให้ตนเองรวยก่อน
ผมไม่ซื้อรถยนต์ ไม่ซื้อเตียงนอน เช่าบ้านอยู่อาศัย ขี่จักรยานสามล้อ ไม่มีนาฬิกาหรู ไม่มีทรัพย์ที่ซื้อเองราคาเกินสองหมื่นบาทในปัจจุบัน ผมควบคุมต้นทุนชีวิตของตนเองเพื่อจะสามารถพาโครงการนี้ก้าวผ่านอุปสรรคทั้งหลายที่ผ่านมา
ด้วยหลักการของการอยู่อย่างเล็ก จึงสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวตน และการอยู่อย่างเล็กเท่านั้นจึงทวนกระแสได้
ในวันที่โลกโหดร้ายกับเยาวชน และคนหลงลืมคุณค่าของการมีลมหายใจจำกัด ในวันที่ประเทศไทยมีมูลนิธิที่จดทะเบียนนับพันแห่งแล้ว แต่ยังคงมีปัญหามากมายที่สร้างจากผู้ใหญ่ แล้วทิ้งเป็นมรดกแก่เยาวชนและคนรุ่นหลัง
วันนี้เราจึงก้าวครั้งใหญ่ออกจากพื้นที่ปลอดภัย ทำในสิ่งที่ดูเหมือนเสี่ยงจะล้มเหลว แต่คุ้มค่ากับเวลาลมหายใจที่มีมากกว่า เปลี่ยนผ่านจากโครงการอิสระเพื่อสังคม สู่รูปแบบธุรกิจเพื่อสังคมอย่างเต็มตัวตามลำดับ
🦋 เปลี่ยนผ่านจากหนอนแก้วผู้ทดลองแนวทางของตนเอง อย่างค่อยเป็นค่อยไป สู่การหยุดนิ่งอยู่ในดักแด้เพื่อบ่มเพาะและงอกปีก ก่อนก้าวออกมาเปลี่ยนผ่านสู่ผีเสื้อ
เปลี่ยนผ่านเพื่อให้โครงการและสิ่งที่เริ่มไว้แล้วนี้ สามารถส่งต่อไปในคนรุ่นหน้าและยังมีลมหายใจ แม้ในวันที่เราหมดลมหายใจแล้ว
สิ่งที่เราจะก้าวต่อไป คือการพัฒนากิจกรรม ผลิตภัณฑ์ สื่อ และการบริการที่ส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจและปัญญาอย่างครบถ้วนรอบด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักในคุณค่าของชีวิตอย่างแท้จริง และสร้างโอกาสให้กับเยาวชนหรือกลุ่มเป้าหมายที่ขาดโอกาสได้มากขึ้น รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ เพื่อขยายพื้นที่และการทำงานที่เข้าถึงผู้คนได้มากกว่าเดิม
🌻 เพราะรู้ว่า เรามีลมหายใจ.. จำกัด
วันนี้เราจึงก้าวต่อไป และพร้อมเปลี่ยนแปลงตนเอง
ด้วยความหวังถึงโลกที่ดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากเราได้หมดลมหายใจ
แม้เรามีลมหายใจจำกัด แต่เราสามารถทำสิ่งที่มีค่ามากกว่าตัวตน มากกว่าชีวิตของตนเองได้
ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์
