รางวัลรองชนะเลิศ วัดที่ฉันหวัง : เรื่องไม่สะอาด จะสะอาด

 

 

“วัดที่ฉันหวัง” วัดเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นเเดนบุญแดนธรรมไว้สร้างบุญบารมี บำเพ็ญปฏิบัติธรรม เพื่อให้จิตใจแจ่มใสสะอาดบริสุทธิ์ หากไม่มีวัดไว้สร้างบุญสร้างบารมีบำเพ็ญแล้วนั้น สถานที่ที่เรียกว่า “วัด” คงจะเหลือเเต่ชื่อไว้ให้คนรุ่นหลังได้จดจำ
.
– นางสาวพัณนิตา พรมหากุล โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา รางวัล รองชนะเลิศ โครงการประกวดงานเขียน ธรรมวรรณศิลป์ ครั้งที่ ๗ หัวข้อ “วัดที่ฉันหวัง”
.
.
ผลงานความเรียง : เรื่องไม่สะอาด จะสะอาด
.
ในปัจจุบันการเข้าวัดปฏิบัติธรรมนั้นมีน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งนั้นเป็นเพราะสังคมไทยเต็มไปด้วยความวุ่นวาย การเอารัดเอาเปรียบ มีการเเข่งขันตลอดเวลา และคนส่วนมากมักจะสนใจสิ่งที่อยู่ภายนอก จนลืมใส่ใจสิ่งที่อยู่ภายใน นั่นคือจิตใจ จากจิตที่เป็นสีขาวกลายเป็นจิตที่หม่นหมอง ที่มีเเต่ความทุกข์ใจ ร้อนใจ กังวล วุ่นวายใจ และบางครั้งหลงมัวเมาในอารมณ์ความรู้สึก รัก โลภ โกธร หลง และสิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตหม่นหมอง คือ การมีทิฐิ ซึ่งทิฐินี้เป็นโรคชนิดหนึ่งที่คอยกัดกร่อนจิตใจให้มีสีคล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นใคร เชื้อชาติไหน จะร่ำรวย หรือมีอำนาจสักเพียงใดก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ทุกคน ซึ่งแต่ละคนนั้นจะเป็นมากเป็นน้อยเเตกต่างกันไป
.
นึกย้อนกลับไปในอดีต สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่ ผู้คนมากมายแบ่งปันกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า วัดวาอารามครึกครื้นผู้คนมาทำบุญเป็นประจำ ปฏิบัติธรรมกันอยู่เป็นเนืองๆ แล้วเหตุใดเล่าอะไรที่ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนไป?
.
สิ่งที่มองเห็นได้ชัดคือ หนึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆที่เข้ามาในสังคมไทยซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆและพัฒนาขี้นอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันหรือเป็นชีวิตของคนบางคนก็มี สอง จิตใจ ใจคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จะเปลี่ยนไปมาเมื่อมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น ทำให้เกิดความสนใจ หลงระเริงหรือลุ่มหลง สาม ความนิยม ค่านิยม เมื่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยน กระเเสในสังคมก็เปลี่ยนเช่นกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
.
เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่กับ”อะไรที่ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลง”แต่อยู่ที่”อะไรที่จะทำให้ใจเราไม่เปลี่ยนแปลง”ไม่เปลี่ยนไปตามสังคม ไม่เปลี่ยนไปตามสิ่งที่อยู่รอบกายคนส่วยใหญ่มักจะมองข้างสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นแล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้ใจเราไม่เปลี่ยนไปตามสิ่งเหล่านั้น
.
ใจที่ไม่เปลี่ยนไปตามสิ่งที่มาสัมผัสจะต้องเป็นใจที่หนักแน่นโดยเป็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งการที่จะฝึกได้นั้น จะต้องฝึกในที่สงบ ขณะเดียวกันก็ต้องมีผู้คอยสอนคอยชี้แนะให้คำแนะนำ หากไม่ฝึกในที่ที่สงบใจจะนิ่งได้อย่างไร และหากไม่มีผู้ชี้แนะจะฝึกได้ถูกต้องได้อย่างไร ซึ่งสถานที่ที่มีทั้งสองอย่างนั้น นั่นก็คือ “วัด”วัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน อันเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา
.
ดิฉันมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมและเพ็ญประโยชน์จิตอาสาที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งทางวัดจัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรม เป็นเวลา 9 วัน ซึ่งกิจกรรมนี้ทางวัดจะจัดขึ้นทุกๆปี การเป็นจิตอาสาในครั้งนี้ ทำให้เรียนรู้ในหลายๆด้านหลายๆแง่มุม ซึ่งช่วงเวลาที่อยู่ภายในวัด ทำให้รู้สึกสงบขึ้น ใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้นและคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นผลที่ตามมาจะเดือดร้อนผู้อื่นหรือเปล่า สิ่งที่ได้ประพฤติปฏิบัติจิตอาสาภายในวัดล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง
.
หลังจากที่อยู่ในวัด ได้บำเพ็ญประโยชน์ ได้ทำความสะอาด ได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระภายในวัด ทำให้เกิดความประทับใจต่างๆ เช่น การได้ทำเพื่อคนอื่น ดิฉันและเพื่อนๆได้ล้างถ้วยล้างจานให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งส่วนมากผู้ที่มาปฏิบัติธรรมนั้นเป็นวัยกลางคนและวัยผู้สูงอายุโดยมากันอย่างล้นกลาม โดยแต่ละคนนั้นจะมีโรคประจำตัว ปวดเข่าบ้าง ปวดหลังบ้าง ปวดเอวบ้าง สุขภาพไม่ค่อยดีนัก มีมือคุณยายท่านหนึ่งยื่นจานมา โดยมือข้างหนึ่งค้ำไม้เท้าพยุงตัวไว้ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ขอบคุณจ๊ะ” ใบหน้าคุณยายเต็มไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ดิฉันอดยิ้มตามไม่ได้ ดิฉันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ที่ได้ช่วยได้อาสาล้างจานให้กับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมหลายคนแล้วหลายคนเล่า เมื่อล้างจานเสร็จ รู้สึกอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยดิฉันก็รู้สึกภูมิใจที่ตนเองที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยงาน ช่วยกิจกรรมภายในวัด อีกความประทับใจคือ ดิฉันมีโอกาสจัดสำรับอาหาร โดยมีแม่ชีท่านหนึ่งสอนดิฉันจัดสำรับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดอาหารคาว ของหวาน หรืออาหารเจ ดิฉันประทับใจแม่ชีท่านนี้มาก เสียงที่ท่านพูดกังวานน่าฟัง รู้สึกสงบ ขณะที่จัดสำรับอาหารท่านก็จะคอยสอนเรื่องการจัดสำรับอาหาร สอนเรื่องทางโลก เรื่องทางธรรมปนกันไป ซึ่งได้แง่คิดดีๆจากท่าน และสามารถนำสิ่งที่ท่านสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และอีกหนึ่งความประทับใจ คือ การได้ปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมทำให้ดิฉันฝึกควบคุมความคิดตัวเอง ฝึกจิตตัวเอง ไม่ให้ฟุ้งซ่าน อีกทั้งฝึกความอดทน ทนต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะง่วง ชา ปวด ร้อน เจ็บ ซึ่งช่วงใกล้รุ่งเช้าของทุกวันจะมีการทำวัตรเช้า นักปฏิบัติธรรมต่างตื่นมาที่ลานปฏิบัติธรรม ซึ่งดิฉันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ไปร่วมทำวัตรเช้า นอกจากนี้ยังมีการเดินจงกรม โดยจะเดินตอนบ่าย และตอนเย็นบ้างเป็นบางวัน และมีการเดินธรรมยาตราโดยจะเดินจากวัด เดินไปตามเชิงเขาภูพาน จนถึงอ่างเก็บน้ำห้วยทรายที่สอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยเสด็จมา โดยอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ทำให้ชาวสกลนครมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่นี้ทำให้ต้นไม้ถูกตัดจำนวนมาก ทำให้ดวงจิตดวงวิญญาณที่เคยอาศัยในต้นไม้ไม่สามารถไปไหนได้ และยังคงติดอยู่ในอ่างเก็บน้ำนี้ หรือแม้กระทั่งวิญญาณที่ตายโหงหรือวิญญาณที่ถูกอาคมมนต์ดำที่ทำให้ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ทางคณะพระวัดป่าสุทธาวาส เดินธรรมยาตรามาที่อ่างเก็บน้ำนี้ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตา กรวดน้ำ ให้เจ้ากรรมนายเวร ดวงวิญญาณที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำนี้ได้หลุดพ้นจากพันธนาการ และเพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งการเดินธรรมยาตราครั้งนี้ทำให้ดิฉันมีความอดทนมากขึ้น เรียนรู้และสามารถข้ามขีดจำกัดตัวเองได้ ขณะที่เดินธรรมยาตราไปที่อ่างเก็บน้ำห้วยทรายที่สองนั้น ด้วยที่ไม่ได้ใส่รองเท้า แดดเวลา 11.00 นาฬิกา พื้นดินลูกรังร้อนเหมือนไฟสุม แดดจ้าร้อน ผู้ปฏิบัติธรรมบางท่านรวมถึงตัวดิฉัน ไม่สามารถจดจ่อกับการเดินได้ ขณะที่ดิฉันเดินอยู่นั้นดิฉันตั้งปณิธานกับตนเองว่าจะต้องบนพื้นดินลูกรังให้ได้ เมื่อเสร็จกิจกรรมบนอ่างเก็บน้ำเป็นเวลา 16.00 – 17.00 นาฬิกา แดดเริ่มอ่อนลง แต่พื้นดินลูกรังยังคงเก็บความร้อนไว้ ความรู้สึกที่เท้าที่เหยียบหินก้อนเล็กก้อนโตปนกันไป ทำให้เท้าเจ็บระบม ปวดร้อนเท้าดิฉันจับความรู้สึกไปที่เท้าทุกขณะของความเจ็บปวด จนกระทั่งเดินถึงวัด เวลาประมาณ 19.00 นาฬิกา ความรู้สึกปวดเท้าได้กลั่นกลายเป็นตื้นตัน เกิดปิติ อิ่มเอิบใจ และปณิธานที่ตั้งไว้สามารถทำได้แล้วเป็นความประทับใจที่สอนให้อดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่มากระทบและสามารถนำความอดทนนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
.
วัดอันเป็นสถานที่สำคัญ มีหลักธรรมเป็นที่บ่มเพาะจิตให้กล้าแกร่งไม่หวั่นไหว วัดและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้นอยู่คู่ชาติไทยมาอย่างช้านานเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมไทย ของวิถีชีวิตคนไทยในทุกๆด้าน ซึ่งมีอิทธิพลให้คนไทยมีวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแสดงความเคารพ ความกตัญญูกตเวที การไม่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น ความอดทนและการเป็นผู้มีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส อีกทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในสังคมไทย แต่ในปัจจุบันนั้นสังคมไทยมีการคดโกงมากมายเกิดเอารัดเอาเปรียบ คอรัปชั่น สังคมไม่เป็นระเบียบ มีความวุ่นวาย จิตสังคมไทยเป็นจิตที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง จะทำอย่างไรให้สังคมไทยกลับมาเป็นดังเดิม? ในอดีตนั้นบรรพบุรุษเราได้รังสรรค์ ได้สร้างวัดสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ได้สืบทอดสานต่อ หากเราไม่อนุรักษ์ ไม่ปฏิบัติ ตามหลักธรรมคำสอน สิ่งต่างๆที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้คงสูญหายไป และสังคมวุ่นวายดังเห็นได้ในปัจจุบัน ถ้าคนไทยเข้าวัดปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สังคมไทยคงจะเป็นระเบียบเกว่านี้ และจิตสังคมไทยคงจะสะอาดมากกว่านี้
.
ติดตามบทความ และ กิจกรรม การอบรม #เขียนเปลี่ยนชีวิต ได้ที่ www.dhammaliterary.org