บทความนี้ได้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่แล้ว อ่านฉบับใหม่ได้ที่
https://www.dhammaliterary.org/reduce-perfectionist/
๗ วิธีไม่สมบูรณ์แบบ ลดความเป็นนัก(ใฝ่)สมบูรณ์แบบ
“Perfectionist” เป็นลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ใส่ใจ ดีครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรฐานหรือหลักการที่ยึดถือ แต่มักทุ่มเทและจดจ่อเกินไป จนกลายเป็นความเครียดและการบีบคั้นตนเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง รู้สึกยากที่จะพอใจและเชื่อใจ
.
เราทุกคนสามารถมีภาวะและลักษณะเช่นนี้ได้ บางคนมีลักษณะนี้เป็นบุคลิกประจำตัวอาจพยายามทำให้ “เป๊ะ” ทุกเรื่องหรือหลายเรื่อง หลายคนที่ไม่ได้มีบุคลิกนิสัยนี้ก็อาจมีเรื่องบางเรื่องที่จะจดจ่อมากเป็นพิเศษ อ่อนไหวมากกว่าเรื่องอื่น ถ้าหากว่าลักษณะอาการนี้มีมากเกินไปจนไม่อาจควบคุมได้ จักกลายเป็นอาการทางจิตเรียกว่า “Perfectionism” ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต
.
– สัญญาณที่บอกว่าเราอาจกำลังใฝ่ความสมบูรณ์แบบในเรื่อง/คนนั้นๆ เช่น
– กลัวความผิดพลาดและความไม่แน่นอนกับเรื่อง/คนดังกล่าวจนวิตกกังวล
– ทุ่มเทเต็มที่และตั้งใจเกี่ยวกับเรื่อง/คนดังกล่าวจนเกินพอดี พยายามเข้าไปจัดการแม้แต่เรื่องเล็กๆ สิ่งน้อยๆ
– รับผิดชอบมากเกินไปจนกลายเป็นการแบกรับและทำให้เราละเลยเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ หรือไม่ค่อยได้พัก
– โกรธหรือหงุดหงิดง่ายหากเรื่อง/คนดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่เรียบร้อย
– ใส่ใจรายละเอียดมากเกินไป จนไม่อาจวางใจหรือปล่อยวาง
– จับผิดเล็กๆ น้อยๆ เห็นข้อตำหนิข้อบกพร่องมากมาย แต่ไม่ค่อยใส่ใจข้อดีที่มีอยู่
– แม้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หรือมีความคืบหน้าในทางที่ดี ก็ทำให้เครียด
– มีเสียงในหัวคิดย้ำซ้ำกับเรื่องดังกล่าว เป็นคำถามลังเลสงสัย หรือตอกย้ำวิพากษ์วิจารณ์
– ไม่สามารถโอนอ่อนผ่อนตามแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีผลกระทบเสียหาย
.
หัวข้อต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพื่อลดการใฝ่ในความสมบูรณ์แบบหรือความใส่ใจกับเรื่องใดมากเกินไปจนเป็นทุกข์
.
.
๑ วางความคิดและใส่ใจความรู้สึกแท้จริง :
.
เมื่อเรากำลังตำหนิต่อว่าหรือจ้องจับผิดในความไม่สมบูรณ์แบบใด มิว่าของตนเองคนอื่น หรือสิ่งใด โดยยกหลักการและมาตรฐานขึ้นมาตีกรอบ ลองกลับมาที่ความรู้สึกแท้จริงของตนเอง เราทำเช่นนั้นเพราะรู้สึกอย่างไร เรากำลังพยายามใช้หลักการและมาตรฐานต่างๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกใดในตนเอง
.
การที่ใส่ใจความสมบูรณ์แบบมากเกินไป มักมาจากความกลัวที่ซ่อนลึกในใจ รวมทั้งความรู้สึกอื่นๆ ที่อาจเป็นความใส่ใจ และความปรารถนาดี แต่เมื่อมีความกลัวและความรู้สึกอื่นที่ถูกกลบเกลื่อนไว้ภายใน จากความปรารถนาดีก็กลายเป็นการทำร้ายตนเองและการทำร้ายกัน
.
เราต้องแยกให้ออกระหว่างความคิดและความรู้สึก สิ่งที่เป็นความคิดมักเป็นการตีความ การคาดการณ์ และการประเมินผล อย่างเช่น รู้สึกว่าเรารักกันดี รู้สึกว่าทำไม่ถูกต้อง นี่เป็นความคิดหรือการตีความ แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่มาจากหัวใจ เป็นอารมณ์ที่รู้สึกขึ้นจริง เช่น รู้สึกอบอุ่น มั่นคง รัก กลัว ไม่แน่ใจ กังวล นี่เป็นตัวอย่างของความรู้สึก
.
ความรู้สึกที่แท้จริงมักถูกความคิดกลบเกลื่อนไว้ จนทำให้เราไม่เข้าใจตนเอง เพราะบางความรู้สึกทำให้เราหวั่นไหว หรือเข้าใจว่าตนเองจะอ่อนแอ ไม่ดีพอ หรือตำหนิตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ จึงหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เราคิดปรุงแต่งยึดจับหลักการ ปิดบังไม่ให้ตัวเรารับรู้ความรู้สึกเหล่านั้น ซึ่งเมื่อปล่อยไว้ก็จะยิ่งห่างไกลจากหัวใจตนเอง แปลกหน้าต่อหัวใจผู้อื่น และห่างไกลตัวเราจากที่เป็นจริงมากขึ้น
.
.
๒ ก่อนสู้ หรือหนี ให้ยอมรับ :
.
ปกติแล้วเมื่อคนเจอความทุกข์ สิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ หรือสิ่งที่เคยทำให้ทุกข์ก็มักใช้กลไกปกป้องตนเอง ซึ่งมีอยู่สองแบบหลักด้วยกัน คือ สู้ และ หนี แต่ละคนอาจมีท่าทีการสู้และหนี ไม่เหมือนกัน บางคนหลีกเลี่ยงด้วยการสนใจเรื่องอื่น ใส่ใจสิ่งอื่น บางคนตอบโต้ด้วยคำโต้แย้ง หรือโทษอีกฝ่าย
.
การยกหลักการ มาตรฐาน และการใส่ใจความสมบูรณ์แบบจนเกินไป เป็นลักษณะของกลไกการปกป้องตนเองอย่างหนึ่ง เป็นรูปแบบ สู้ ที่ตอกย้ำความบกพร่องของอีกฝ่ายบ้าง เป็นการ หนี จากความรู้สึกผิดในตนเองบ้าง กลไกเหล่านี้หล่อหลอมขึ้นมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็ก บางคนเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กดีอยู่ในระเบียบและมาตรฐานต่างๆ ที่ครูหรือพ่อแม่มอบให้ เพื่อได้รับความรักและการชื่นชม บางคนเจอประสบการณ์ผิดพลาดทำให้ถูกต่อว่าจากคนที่เขารัก หรือรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ความรู้สึกผิดดังกล่าวก็สามารถหล่อหลอมมาเป็นการใส่ใจความสมบูรณ์แบบจนเกินพอดี
.
เมื่อเรารู้สึกตัวว่ากำลังจดจ่อความสมบูรณ์แบบมากเกินไปแล้ว ลองสำรวจว่าเรากำลังสู้กับอะไร และหนีจากอะไร อยู่กับความรู้สึกที่เป็นจริงในหัวใจ ก่อนที่เราจะเลือกคิด เลือกพูด หรือเลือกทำอะไรต่อ ให้ยั้งตนเองไว้ก่อน
.
กลไกการสู้หรือหนี ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การปกป้องตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้เราและคนรอบข้างเป็นทุกข์ มิว่าจะเลือกสู้หรือหนีในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยวิธีการใด ขอให้กลับมาที่หัวใจตนเองก่อน รับรู้และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในตนเองนั้น แล้วจึงค่อยเลือกว่าจะใช้วิธีการใดรับมือหรือแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า
.
ไม้บรรทัดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเสมอไป บางครั้งเพียงการเห็นใจกัน ไม่สู้และไม่หนีต่อปัญหานั้น เพียงยอมรับและเห็นอกเห็นใจ ก็ช่วยให้สถานการณ์และความตึงเครียดในกันบรรเทาเบาบางมากขึ้นแล้ว
.
.
๓ ฝึกทำอย่างไม่ทำบ้าง :
.
ปัญหาไม่ได้มีไว้ให้แก้ไขเสมอไป บางเรื่องยิ่งพยายามเข้าไปแก้ไขให้สมบูรณ์ก็ยิ่งยุ่งเหยิง ยิ่งย้ำคิดกับเรื่องนั้นมากยิ่งกังวลใจ ปล่อยไว้บ้างวางไว้สักพัก มันอาจค่อยๆ ดีขึ้นเอง โลกไม่ได้หมุนเพราะตัวเราอยากให้หมุน ทุกชีวิตมีทางไปของตนเอง ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยตัวมันเอง เราเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น การเลือกหยุดลงบ้างก็เป็นการเปิดทางให้ปัจจัยอื่นๆ ช่วยผลักดัน
.
การตอกย้ำข้อบกพร่องทั้งหลายมิว่าของลูก คนรัก หรือลูกน้อง ไม่ได้ทำให้เขาเติบโตขึ้นเสมอไป การจ้ำจี้ให้อีกฝ่ายแก้ไขปรับปรุงตัว อาจยิ่งย้ำให้เขาจ่อมจมในความรู้สึกไม่มีคุณค่าและทำพฤติกรรมลบซ้ำเติม การแก้ไขปัญหาเหมือนกับการแก้มัดหรือคลายปมเชือก เราไม่อาจทำได้ด้วยการผูกย้ำเข้าไปให้หนาแน่นมากขึ้น
.
ข้อบกพร่องไม่ได้มีไว้ให้แบก เมื่อเราเห็นข้อบกพร่องหรือความไม่สมบูรณ์พอของสิ่งใดก็ตามแล้วใจเป็นทุกข์ นั่นมิใช่ความผิดของข้อบกพร่อง แต่เป็นตัวเราเองที่ทำให้ตนเป็นทุกข์ เพราะความคาดหวังและเอามาเป็นความรับผิดชอบของตนมากเกินไป
.
การฝึกทำอย่างไม่ทำ มิใช่การไม่ทำอะไรเลย แต่เป็นการยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เป็นไป ในคนที่เรารักก็ดี งาน ชีวิต หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วทำในสิ่งที่พอทำได้โดยวางจากความคาดหวังซึ่งอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปดั่งใจเรา “ทำ” อย่าง “ไม่ทำ” คือ ทำไปตามที่ควร ไม่ทำตามที่คาดหวัง
.
หากเราไม่สามารถทำสิ่งใดให้ดีขึ้นได้เลย หรือยิ่งทำแล้วยิ่งก่อผลเสีย การรู้หยุดลงไม่ต้องไปทำอะไร ก็เป็นการกระทำที่สำคัญ เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกหรือคนอื่นได้ทั้งหมด เราเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
.
.
๔ มองหาสิ่งใกล้ตัวที่ไม่มีข้อบกพร่องและจุดด้อยเลย :
.
นานมาแล้ว นางกิสาโคตมี วิ่งร้องไห้โศกเศร้าร้องขอยาไปทั่ว เพื่อช่วยชุบชีวิตของบุตรที่เสียชีวิตอย่างน่าเวทนา เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า นางได้ร้องขอยาและความช่วยเหลือ ท่านจึงตรัสให้ไปขอเมล็ดผักกาดจากครอบครัวที่ไม่มีญาติคนใดเสียชีวิตเลย
.
ตอนแรกนางคิดว่าไม่น่าใช่สิ่งที่หายาก ทุกบ้านมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งสิ้น แต่ไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่เคยมีญาติเสียชีวิต จนที่สุดแล้วก็กลับมาหาพระพุทธเจ้ามือเปล่า ท่านตรัสสอนว่า นางคิดว่ามีเพียงบุตรของนางคนเดียวที่เสียชีวิต แต่ความไม่เที่ยงมีอยู่คู่ทุกชีวิตและสิ่งทั้งหลาย เช่นนี้แล้วนางกิสาโคตมีก็บรรลุธรรม
.
เช่นเดียวกันกับความไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอเอาเสียเลย จงมองหาสิ่งใกล้ตัวที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้จริง ซึ่งไม่มีข้อตำหนิ ไม่มีจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องเลย แม้แต่สิ่งที่สวยงามและทำงานเที่ยงตรงก็อาจเปราะบางกับแรงกระแทก สิ่งของที่แข็งแรงทนทานก็อาจหนักอึ้งหรือใช้ประโยชน์บางเรื่องไม่ได้
.
หากเรารู้สึกว่าคนที่เราห่วงใย อาจเป็นพ่อแม่หรือคนรัก ไม่ดีพอในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ลองสำรวจดูว่ามีครอบครัวใดที่มีสมาชิกหรือคนรักที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อพร่อง ไม่มีส่วนเสีย หรือไม่เคยทำผิดเลย มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่เคยมีความเห็นแตกต่างกันหรือขัดใจกันบ้างเลย
.
เวลาไม่พอใจในข้อพร่องหรือความไม่สมบูรณ์ของคนใดหรือสิ่งใด ตอนนั้นเรามักลืมความจริงข้อนี้ ไม่เพียงแค่ตัวเราหรือเขาคนนั้นไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่การมีข้อบกพร่องบ้างเป็นของคู่กับสิ่งทั้งหลาย ไม่จำกัดว่าจะเป็นเฉพาะคนๆ นั้น หรือของเราเท่านั้น
.
.
๕ ชื่นชมด้านมืดของตนเอง :
.
แม้การใส่ใจความสมบูรณ์แบบมากก็ยังมีข้อดี ช่วยทำให้เราทำสิ่งใดก็ทำอย่างเต็มที่ ละเอียดลออ และใส่ใจพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ชนิดที่คนที่ไม่ใส่ใจความเป็นเลิศและความสมบูรณ์เลย อาจไม่ทำหรือไม่เป็นอย่างนี้
.
ด้านต่างๆ ในตัวเราที่บกพร่อง มีข้อดีซ่อนอยู่เสมอ มักเป็นสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวเราที่ยังใช้ศักยภาพนั้นอย่างไม่เหมาะสม มากไปบ้าง น้อยเกินไปบ้าง คนที่บกพร่องเพราะทำสิ่งใดไม่สม่ำเสมอ อย่างน้อยก็มีความยืดหยุ่นอยู่ในตนเอง คนที่ขี้กลัวไม่กล้าตัดสินใจเอง เพราะมีความระมัดระวังและรับฟังผู้อื่น ไม่ยึดความเห็นตนเองเป็นที่ตั้ง
.
ด้านมืดของท้องฟ้ายังมีดวงดาว ด้านมืดของตัวเราก็มีประกายความดีงามที่ซ่อนอยู่ แทนที่เราจะย้ำคิดว่าตัวเราหรือคนอื่น ไม่ดีอย่างนี้เลย ไม่ได้ความอย่างนั้นเลย เรามองแต่ความมืดบนท้องฟ้า เราก็จะเห็นแค่ความมืดเท่านั้น ทั้งที่รอบๆ มีแสงพริบพราวเปล่งประกายมากมาย
.
การที่เรายึดติดความสมบูรณ์แบบมากเกินไป ส่วนหนึ่งก็เพราะความไม่พอใจในตนเองอย่างที่เป็นจริง เราพยายามทำให้ตนเองและสิ่งต่างๆ รอบข้างดีพอ มั่นคงพอ หรือปลอดภัยมากพอ บีบคั้น เคี่ยวเค้น แต่ไม่ว่าจะสมบูรณ์มากเท่าใดก็ไม่พอ เราก็อาจจะพยายามให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป หรือแก้ไขแล้วแก้ไขเล่า ตราบใดที่เรายังไม่ชื่นชมและเคารพในสิ่งที่ตนเองเป็นอย่างแท้จริง
.
ตัวเรามีคุณค่าเพราะบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์แบบทำให้เรามีคุณค่าชนิดที่ความสมบูรณ์แบบไม่มี ตัวอย่างเช่น กระดาษโพสต์อิท กระดาษสำหรับจดบันทึกเล็กๆ ที่สามารถแปะติด ดึงออก และแปะติดใหม่ได้ ซึ่งกาวที่ติดแน่นและเหนียวที่สุดไม่อาจนำมาทำโพสต์อิท ต้องเป็นกาวที่อ่อนพร้อมจะหลุดออกและติดใหม่ได้เสมอ ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของผู้คิดค้นที่ตั้งใจทำกาวที่เหนียวและทนทาน แต่กลับได้กาวมาอีกแบบไม่ใช่อย่างตั้งใจ จึงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์นี้ขึ้น ซึ่งถ้าทากาวเต็มพื้นที่ด้านหลังก็จะไม่สามารถแกะออกและติดใหม่ได้สะดวกเช่นกัน จึงต้องมีกาวแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
.
การที่เราไม่เก่งในบางเรื่อง ทำได้ไม่ดีในบางเรื่อง บกพร่อง หรือมีข้อเสีย สิ่งนั้นมีคุณค่าและประโยชน์ ข้อบกพร่องในตัวผู้อื่นและสิ่งอื่นๆ ที่เราใส่ใจก็เช่นกัน
.
.
๖ ผ่อนคลายและยืดหยุ่นไปกับชีวิต :
.
การบังคับให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามใจเรา ไม่เคยทำให้เราและสิ่งที่เกี่ยวข้องสุขใจอย่างแท้จริง เปรียบชีวิตดั่งการว่ายน้ำในทะเล แม้จะกังวลใจหรือโกรธคลื่นน้ำและกระแสลมมากเท่าใด ท้องทะเลก็เป็นดั่งเดิม คือเป็นไปตามธรรมชาติ มีแต่ใจเราที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และไม่มีความสุข ด้วยพยายามบังคับให้สิ่งที่ต้องเป็นไป เป็นไปอย่างใจตน
.
เราต้องการสิ่งใดมากกว่ากัน ระหว่างความสุข กับ ความสมบูรณ์แบบดั่งใจ ด้วยศักยภาพมหาศาลของคน เราอาจสร้างสิ่งที่ใกล้เคียงสมบูรณ์แบบได้ มิว่าเลี้ยงลูกจนเป็นเด็กที่เป็นเลิศ สร้างสรรค์งานจนประสบความสำเร็จ หรือสร้างภาพให้แก่ตนเองดีงามบริบูรณ์ แต่คุ้มค่าหรือไม่หากเราต้องแลกความสุข ความรัก และสุขภาพที่ดี กับความสมบูรณ์แบบในเรื่องนั้น
.
ในบทความตอนก่อน ผู้เขียนได้ยกกรณีศึกษาการเลี้ยงลูกของผู้ปกครองที่ใส่ใจความสมบูรณ์แบบ จนบังคับกะเกณฑ์และครอบงำชีวิตลูกเกินไป ซึ่งมีผลเสียทางจิตใจและการใช้ชีวิตของลูกแม้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในฐานะพ่อแม่ เราอาจต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จ เป็นคนดี และตนเองรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ผลที่ตามมานั้นตรงกันข้าม เพราะลูกมิอาจรู้สึกถึงความรัก และการมีคุณค่าของตนเองได้เลย จนนำมาสู่พฤติกรรมทำร้ายตนเอง แม้จะประสบความสำเร็จเป็นนักร้องชื่อดังก็ตาม
.
เราสร้างกฏเกณฑ์ เงื่อนไข และกติกาให้แก่ตนเองและคนรอบข้าง เพื่อสิ่งเหล่านี้พาความพอใจและความสงบใจแก่เราใช่หรือไม่ อย่างที่เราหวังให้คนรอบข้างเป็นแบบนี้ ทำกับเราแบบนี้ หรือตัวฉันจะต้องเป็นแบบนี้ ทำได้แบบนี้ มีเงินมากเท่านี้ ประสบความสำเร็จมากเท่านี้ ทำงานได้เท่านี้ ฯ
.
หากเราจะต้องตึงเครียดและทำลายความสุข ความรัก และความสงบใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบตามกฏเกณฑ์มาตรฐานเหล่านั้น เราจะยังยึดมั่นในความคาดหวังอยู่หรือไม่ หรือผ่อนคลายและยืดหยุ่นไปกับชีวิต
.
การยืดหยุ่นคือการไม่ยึดติดในไม้บรรทัดเดียว เพราะไม้บรรทัดเดียวสั้นและเล็กเกินไปที่จะใช้ได้กับทุกเรื่องและทุกคนในชีวิต เราไม่จำเป็นต้องมีไม้บรรทัดเดียวที่คอยชี้วัดและกะเกณฑ์ทุกสิ่ง บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวัด
.
การยืดหยุ่นยังเหมือนกับการว่ายน้ำในทะเล จะว่ายถึงฝั่งหรือมีความสุขกับการเล่นน้ำได้ เราต้องผ่อนปรนกับคลื่นลม รับรู้กระแสน้ำและโอนอ่อน แหวกว่ายให้กายใจเคลื่อนไหว หรือปล่อยตัวผ่อนคลายนอนให้มวลน้ำช่วยพยุง ยิ่งเกร็งยิ่งฝืนต้านเราก็ยิ่งจมลง
.
บางครั้งเราก็เผลอตึงเครียดเพราะความกลัวในหัวใจ เหมือนว่ายน้ำแล้วรู้สึกกลัวคลื่นและความลึก หากเรายิ่งเกร็งตัวเราก็ยิ่งลำบาก ต้องเชื่อใจและวางใจ ปล่อยให้ตัวเราเป็นส่วนหนึ่งกับท้องทะเล ปล่อยให้ตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มิใช่พยายามควบคุมชีวิต ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันกับคนรัก มิใช่เจ้าของที่พยายามควบคุมซึ่งกันและกัน
.
.
๗ เว้นช่องว่าง :
.
ความเต็มที่และความเต็มเปี่ยม ไม่ใช่คุณค่าที่สมบูรณ์แบบที่สุด บ้านอยู่ได้ เพราะบ้านมีพื้นที่โล่งให้เราอยู่อาศัยและหายใจ งานเขียนต้องมีช่องไฟระหว่างอักษรและเว้นวรรค ดนตรีไพเราะเพราะมีจังหวะความเงียบที่พอดี การออกแบบที่ดีต้องมีช่องว่าง ชีวิตที่ดีต้องมีพื้นที่พักให้หัวใจ
.
การเต็มที่กับสิ่งต่างๆ ทุ่มเทและตั้งใจจนถึงที่สุด และการพยายามทำให้สิ่งที่ดีที่ใส่ใจมีเต็มเปี่ยม เป็นเรื่องสำคัญ แต่เป็นเพียงคุณค่าด้านเดียวเท่านั้น การเว้นช่องว่างให้ตัวเราและคนอื่นมีพื้นที่เป็นของตนเอง ได้พักผ่อน สงบใจ และพอใจกับสิ่งที่มี เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันและเป็นอีกด้านหนึ่งของความเต็มที่ที่ต้องเติมให้สมดุล
.
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับคนที่รัก หรือเรากับงานก็ดี ต้องเว้นช่องว่างระหว่างกันบ้าง หรือมีช่วงเวลาให้ถอยห่างจากกันมีพื้นที่ว่างของตนเอง เพื่อให้ต่างดูแลความต้องการพื้นฐานของตน ให้ทั้งสองฝ่ายยังคงส่งเสริมกันและกันให้มีความสุข หรือให้เราได้ถอยออกมามองสถานการณ์ในมุมใหม่
.
ต้นไม้ที่เติบโตใกล้กันเกินไป ย่อมบั่นทอนซึ่งกันและกัน ชีวิตเราจะเติบโตเราต้องมีพื้นที่ว่างและระยะห่างที่เหมาะสม
.
ใฝ่ในความสมบูรณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ทว่าต้องใฝ่ในความสมดุลด้วย การเป็นคนเต็มที่นั้นน่าชื่นชม ทว่ากายกับใจก็มิใช่เครื่องจักรให้ใช้งานหนักจนเสื่อมทรุด เราคิดเรื่องนั้นเยอะแล้ว เราทำเรื่องนั้นมากแล้ว ให้ช่วงเวลาพักกับกายใจนี้บ้าง เมื่อคิดมากเกินไปก็ลองพักคิดกลับมาอยู่กับลมหายใจ หรือออกกำลังกาย อยู่กับร่างกายเว้นช่องว่างให้ความคิด
.
ถ้าหากเรื่องใดทำให้เราเครียด กังวล และรบกวนใจมากเกินไป เราสามารถเว้นพื้นที่ด้วยการถอยออกมา ใส่ใจสิ่งอื่นที่สำคัญไม่แพ้กัน รับฟังมุมมองผู้อื่น ทำงานอดิเรกให้เกิดสมาธิ
.
การเว้นพื้นที่ให้กับสิ่งทั้งหลาย ย่อมส่งเสริมใจเราให้สงบวางลง ยอมรับในสิ่งที่เป็นอย่างที่เป็นจริง ยินยอมให้ตนเองและสิ่งทั้งหลายมีตำหนิ เพื่องดงามในแบบของตนเอง ไม่เป็นไปตามมาตรฐานอันจำเจ
.
บทความนี้ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด การฝึกขัดเกลาความใฝ่สมบูรณ์แบบ ต้องทำงานหนักกับการฝึกใจยับยั้งความอยากและการยึดติด โดยบางทีเราอาจไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังใฝ่ความสมบูรณ์แบบหากไม่มีสติเพียงพอ ต้องใช้อุบายฝึกตนทั้งทางกาย วาจา และใจอีกมาก แต่พื้นที่ว่างจากอักษรและเนื้อความหลังบทความนี้ คือพื้นที่ว่างแห่งการเติบโตของตัวเราเอง แก่ดวงตาและดวงใจ…
.
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
คอลัมน์ ไกด์โลกจิต ตอนที่ ๓๔
✍ ฝึกเขียนกำกับจิต ขัดเกลาการยึดติดและความอยาก
? อ่านบทความ คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต”