วิธีจัดการความเครียดสะสม

วิธีจัดการความเครียดสะสม #บทความไกด์โลกจิต . เริ่มต้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ยามที่เราเผชิญปัญหาแล้วรู้สึกเครียด กังวลใจ และอารมณ์ลบต่างๆ เหล่านั้นมาจากกลไกของจิตใจที่ต้องการปรับตัวเราให้พร้อมรับมือสิ่งต่างๆ กลไกที่ว่านี้อาจเรียกว่า ปฏิกิริยาการปรับตัวปกติของจิตใจ (Adjustment reaction/ normal reaction) . สิ่งนี้ดีอยู่แล้ว ในแง่ที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนระวังภัยให้เรารับมือสิ่งต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที แต่ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำเติมเราเมื่อ กลไกลการปรับตัวดังกล่าว ทำงานมากเกินไป หรือทำงานติดต่อกันมากเกินไป กลายเป็นร่องความเครียด หรือร่องอารมณ์ด้านลบ ทั้งระดับร่างกายและจิตใจ . สิ่งดังกล่าวเลยไม่ใช่ปฏิกิริยาการปรับตัวตามปกติแล้ว กลายเป็นโรคเครียด หรือเรียกว่า ภาวะ “การปรับตัวผิดปกติ” (adjustment disorder) . 7 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นสัญญาณบอกว่า กลไกของจิตใจเราพยายามเตือนภัยมากเกินไปแล้ว 1. เครียดมาก…จนบกพร่องชัดเจนในหน้าที่การงาน หรือ การเรียน 2. เครียดมาก…จนบกพร่องชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ 3. เครียดมาก…จนบกพร่องชัดเจนในการเข้าสังคม 4. เครียดมาก…จนส่งผลต่อการกิน การนอนผิดปกติ ไปหมด 5. เครียดมาก…จนวันๆ หมกมุ่น ครุ่นคิดต่อเรื่องนั้น จนไม่เป็นอันทำอะไรกันเลย… Continue reading วิธีจัดการความเครียดสะสม

บันทึกนักเขียนบำบัด “ฟังเสียงร่างกาย” ตอนที่ ๒

    บันทึกนักเขียนบำบัด “ฟังเสียงร่างกาย” ตอนที่ ๒ บทสนทนาและการดูแลตนเอง ในรอยต่อระหว่างการอบรม “เขียน = ปลดปล่อยชีวิต” และ “พลังแห่งจิต กึ่งออนไลน์” โดย สุพัตรา     ฉัน… ฟังร่างกายครั้งที่ห้า 05/04/59 วันนี้ทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเกือบทั้งวัน ไม่ได้คิดถึงหรือรู้สึกไม่ดีในเรื่องใดจริงจัง แต่เห็นตัวเองอารมณ์ค่อนข้างร้อน หงุดหงิดง่ายกับเรื่องเล็กๆ อาการออกทางใบหน้าไม่ค่อยยิ้ม หน้าขรึม ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ เมื่อตอนเย็นได้ไปงานเลี้ยงกินน้ำอัดลมไป 2 แก้ว และเค้ก 1 ชิ้น(-*-) ก่อนเริ่ม…ฟังเพลงผ่อนคลาย และทบทวนตัวเองในระหว่างวัน เริ่มง่วงเล็กน้อย ขณะฟังร่างกาย…หายใจเข้าออกอยู่กับตัวเองไม่ค่อยมีสมาธิมีเรื่องทั่วๆไปหลายเรื่องแว๊บเข้ามาแล้วก็หลับไปจนถึงตีสามครึ่ง ผ่านมา 5 วันแล้วยังไม่ค่อยได้คุยกับคุณร่างกาย หวังว่าคุณร่างกายจะเข้าใจว่าเราอ่อนเพลียเลยขอพักผ่อนก่อนคุณร่างกายก็ได้พักไปด้วยงัย ถ้าเรามีพลังขึ้น ———– อาจารย์… อย่างน้อยเราได้ฟังความอ่อนเพลียในตัวเรา กับเสียงสะท้อนจากคุณคอและบ่า ครั้งต่อไปนี้ไม่เพียงเราจะตั้งใจฟังเสียงร่างกายเท่านั้น แต่เราจะมอบพลังแก่เขาด้วยใจของเราด้วย เริ่มที่คอก่อนได้ครับ ทว่าครั้งนี้ถ้าเป็นไปได้ลองเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่งนะครับ 

แม้เราไม่ได้คิดถึงสิ่งที่รบกวนใจ แต่ความร้อนหงุดหงิดที่อยู่ภายในก็แสดงถึงพลังลบหรือความคิดบางอย่างสะสมอยู่ ให้การฟังร่างกายหรือปรับพลังร่างกายทีละจุดนี้ ชำระล้างและผ่อนคลายตัวเรา ให้แสงสว่างที่เรากำหนดในใจให้เป็นการปรับเปลี้ยนพลังลบออกให้สมดุล… Continue reading บันทึกนักเขียนบำบัด “ฟังเสียงร่างกาย” ตอนที่ ๒

บันทึกนักเขียนบำบัด “ฟังเสียงร่างกาย” ตอนที่ ๑

      บันทึกนักเขียนบำบัด “ฟังเสียงร่างกาย” ตอนที่ ๑ บทสนทนาและการดูแลตนเอง ในรอยต่อระหว่างการอบรม “เขียน = ปลดปล่อยชีวิต” และ “พลังแห่งจิต กึ่งออนไลน์” โดย สุพัตรา   อาจารย์… ชีวิตที่ต้องคอยพยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดนี่เหนื่อยมากเลยนะครับ ยิ่งต้องคอยอยู่กับคำตัดสินและคำสั่งโดยที่ไม่ได้ตอบโต้ก็ยิ่งเหมือนคอยแบกหินไปด้วย เหนื่อยอย่างนี้ความฝัน ความตั้งใจ และการเรียนรู้ก็พลอยถูกบั่นทอน ใจแบกรับหนักอึ้งก็ยิ่งเร่งเร้าร่างกาย ก็สะท้อนมาให้เราฟังผ่านอาการที่หน้าอกและหัว จะพอช้าลงและให้โอกาสร่างกายได้พูดเสียหน่อย ได้ไหมครับ เห็นร่างกายและจิตใจเราเสียพลังไปมากพอมีช่วงเวลาให้เราลองฟังร่างกายได้ไหมครับ ผมจะแนะนำดู _ลองนั่งหรือนอน หลับตา ผ่อนคลายความคิดความกังวลใดใด หายใจอยู่กับตนเองครู่หนึ่ง _กำหนดความรู้สึก ไล่ไปตามลำดับ จากเท้าสองข้าง / หัวเข่า / ก้น / ท้องน้อย / ท้อง / หน้าอก / ลำคอ / หน้าผาก / กลางศรีษะ แต่ละส่วนใช้เวลาครู่หนึ่ง ไปตามเสียงภายในของเรา… Continue reading บันทึกนักเขียนบำบัด “ฟังเสียงร่างกาย” ตอนที่ ๑

ตัวเล็ก จึงทวนกระแสง่าย

      #ตัวเล็ก จึงทวนกระแสง่าย   ผมนึกรู้สึกขอบคุณสภาพที่เป็นอยู่ ในบ้านหลังน้อย งานเล็กๆ กลุ่มคนไม่มาก ระหว่างนั่งลำพังท่ามกลางค่ำคืน สรรพเสียงต่างๆ เดินทางมาทักทาย ถ้าเราส่งเสียงดังหรือทำตัวใหญ่โต คงยากหาโอกาสฟังเสียงจากเจ้าตัวกระจิดริดที่ร้องเพลงกล่อมดาว อีกลูกหมาที่ร้องมาแต่ไกลบอกกล่าวว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ แต่เสียงก็น่ารักนัก ผมรู้สึกขอบคุณที่ยังคงตัวเล็ก… การบ่มใจให้เป็นสุขแท้ มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส เหมือนวิ่งต้านทานลม ผมเคยคิดว่าการทวนกระแสคือการทำตัวให้แตกต่าง และ เชื่อมั่นสิ่งที่ดีกว่าที่คนทั่วไปหลายคนไม่สนใจ แต่การทวนกระแสที่ทำให้ใจเป็นสุขและช่วยเหลือผู้คนได้มากมิใช่สิ่งเหล่านั้น แต่เป็นกระแสของจิตที่ถูกพัดพาด้วยเหตุของความทุกข์ ซึ่งเราต้องย้อนทวน เปรียบเป็นกระแสลม เราจะวิ่งฝ่าลมต้านได้ ต้องย่อตัวให้เล็ก ค้อมกายลง เพื่อลดพื้นที่ต้านทาน ถ้าเราเอาตนเป็นที่ตั้ง ฝ่าลมต้านไปทื่อๆ มันย่อมยาก ชีวิตที่เอื้อให้เราตัวเล็ก เปิดโอกาสให้เราเป็นสุขแท้จากการทวนกระแสของจิตใจ จากการถูกความอยากและการยึดมั่นโน้มนำ ให้เราว่ายวนในบ่วงทุกข์ราวไม่สุดสิ้น ตัวเล็กเพื่ออยู่อย่างทวนกระแสในตัวตน หยั่งเห็นสิ่งละอันพันละน้อยที่ใครหลายคนละเลย เพราะเราตัวเล็กจึงทำสิ่งที่ละเอียดอ่อนง่าย คิดเปรียบเปรยคนเรานี่น่าอิจฉามดแมลง เล็กกระจิ๋วแต่สามารถสำรวจชีวิตได้ลึกซึ้ง บางทีหนทางตีบตันสำหรับเราผู้ตัวใหญ่กว่า แต่พวกเขาเหล่านี้อาจเห็นช่องทางผ่านไปได้ง่าย ผมขอบคุณความตัวเล็กที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนและได้สอนกับคนตัวเล็ก ผู้ซึ่งมีใจที่เปิดรับโลกกว้าง และพร้อมขัดเกลาตนอย่างอ่อนน้อม ความอ่อนน้อมและอ่อนโยนของผู้เรียนย่อมเป็นแบบอย่างแก่ผู้สอนด้วย รายได้เล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เราไม่อวดโอ่ตนจนเป็นความรำคาญแก่ชีวิต นึกถึงอาจารย์ท่านบอกว่า “เอ็งนี่ดีนะ… Continue reading ตัวเล็ก จึงทวนกระแสง่าย

อุบายดูแลใจเมื่อเจอะใครรบกวน

    อุบายดูแลใจเมื่อเจอะใครรบกวน ในกลุ่มคุยผู้เรียน “ห้องเรียน พลังแห่งจิต” โหน่ง ถาม : อยากถามว่าถ้ามีคนใกล้ตัวที่มีพฤติกรรมที่กวนใจเราโดยเขาอาจไม่รู้ตัว แต่เราไม่ชอบพฤติกรรมนั้นเอง ซึ่งเราต้องเจอพฤติกรรมนั้นบ่อยๆ เราจะใช้การสั่งจิตมาประยุกต์ได้อย่างไรบ้างคะ โณ ตอบ : ส่วนตัวโณใช้วิธีแผ่เมตตา กับทองเลนค่ะ คิดว่าเป็นส่วนนึงของพลังจิต เพราะขยายพื้นที่ในจิตใจตัวเองค่ะ ตา ตอบ : น่าจะลองใช้ส่วนหนึ่งในบทเรียนสั่งดู เช่น สั่งให้ตัวเราอีกคนทำหน้าที่ผู้ดูแล คอยชวนตัวเราคนเดิมให้ถอยห่างเหตุการณ์แล้วชวนมองกลับเข้าไปแบบทำตัวแค่เป็นผู้สังเกตหรือผู้มองเห็น  หรือถ้ายากไป ก็ประยุกต์บทเรียน ภาษามนุษย์ต่างดาวเปลี่ยนเรื่องเดิมให้เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย บอกเล่าตัวเองขณะเห็น  พี่เคยใช้วิธีแรกค่ะ ก็พบว่าใจเรามีอุเบกขามากขึ้นจนพฤติกรรมเหล่านั้นลดอิทธิพลลงไป ไม่สามารถสร้างปฏิกิริยาใดๆในตัวเราอีก จนเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกขอบคุณเขา เวลาเห็นพฤติกรรมนั้น ว่าเป็นบททดสอบอารมณ์ให้เราบ่อยดี หน่ง ตอบ : สุดยอดค่ะ ขอบคุณค่ะ โณ และพี่ตา คิดวิธีเหล่านี้ไม่ถึงเลยนะเนี่ย ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะ จากกิจกรรมสองวันที่่ผ่านมา รู้สึกเลยว่ามุมมองเรากว้างขึ้น และเปลี่ยนไป รวมทั้งรับรู้พลังได้มากขึ้น อยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น ตา ตอบ : บทเรียนจากคนข้างตัวจะช่วยนำพาทักษะการอยู่กับปัจจุบันมาให้ตัวเรา… Continue reading อุบายดูแลใจเมื่อเจอะใครรบกวน

อยู่อย่างยึด ย่อมยาก

    อยู่ยากหรืออยู่ง่ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบเป็นสำคัญ อยู่ในวัดอารามแหล่งบุญหรือท่ามกลางชนบททุ่งนา อาจเป็นการอยู่ยากได้ไม่น้อยกว่าผู้ต้องขังเรือนจำ อยู่ยากหรืออยู่ง่าย ไม่ได้วัดที่ชอบความง่ายๆ หรือชอบความท้าทายซับซ้อน แต่อยู่ที่ ยึดมั่นมาก หรือ ยึดมั่นน้อย อยู่อย่างยึด ย่อมอยู่ยาก ใจเราก็เหมือนนักเดินทางไกลที่แบกสัมภาระมากมาย ยิ่งเดินทางไปถึงไหน ยิ่งหาสัมภาระใหม่มาแบกถือ อย่างนี้จะถึงเป้าหมายอย่างไร เราทำให้การเดินทางชีวิตนั้นยากเอง ยิ่งแบกหนักเข้าเราก็อาจเหนื่อยล้าจนลืมความสวยงามระหว่างทาง มนุษยเรานี่เก่งนะ ทำให้ชีวิตที่ง่ายตามวิถีธรรมชาติให้ยุ่งยากซับซ้อนและก็ทนอยู่กับมันได้ แต่ความเก่งนี้แทนที่จะเพื่อช่วยให้ตัวเราและเพื่อนหลุดพ้นจากทุกข์ กลับก่อทุกข์เพราะเกาะกุมสิ่งต่างๆ อยู่ร่ำไป เอาความเก่งนั้นมาทำให้ชีวิตอยู่ยาก แทนที่จะทำให้ง่าย อยู่อย่างยึด ย่อมยากลำบาก ต้องคอยอยากให้ได้ อยากให้เป็น อย่างที่ยึดมั่นไว้ เช่นโทรศัทพ์มือถือเราหวังให้มันเป็นอุปกรณ์พิเศษและมีรุ่นใหม่ไม่น้อยหน้าใคร เราต้องทำงานหนักเพื่อผ่อนจ่าย คอยพะวงดูแลรักษา ใช้สมองคิดแก้ปัญหาความซับซ้อนของระบบ หาเงินจ่ายค่าโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตรายเดือน และเสียค่าซ่อมเมื่อเครื่องรวนหรือเสียหาย ชีวิตเหมือนจะสบายเพราะสิ่งอำนวยความสะดวก แต่มันกลับทำให้เราอยู่ยากขึ้น เมื่อรายจ่ายมากเข้า รายรับเท่าเดิมหรือผันผวนตามเศรษฐกิจ เรามีเวลาให้หน้าจอสัมผัส แต่มีเวลายิ้มให้ตนเองและครอบครัวน้อยลง มีความสุขเมื่อได้ครองสิ่งที่หวังยึดมั่น แต่ใจเป็นทุกข์หนักเพราะภาระต่างๆ ต้องดูแล ความยึดมั่นเกิดจากความอยาก เมื่อได้อย่างที่หวังก็ต้องอยากรักษาให้คงอยู่ สูญเสียไปก็เสียดายและใฝ่หวังหาสิ่งทดแทน ทุกข์ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย นี่อยู่อย่างง่ายหรืออยู่อย่างยาก เราต้องใคร่ครวญ… Continue reading อยู่อย่างยึด ย่อมยาก

…ลูกช่วยปลดปล่อยเด็กน้อยในใจแม่…

  สวัสดีค่ะอาจารย์หลังจากที่เรียนกลับไปก็มีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้น่ายินดีมากเลยค่ะ ต้องเล่าก่อนเลยว่า หลังจากเรียนวันที่1 คืนนั้น น้อทตื่นมาตี2 และกำลังจะเคลิ้มหลับอีกครั้งปรากฏว่าเด็กน้อยประมาณวัยรุ่นตอนต้นก็โผล่ขึ้นมาในหัว เธอตะโกนโวยวายเรียกร้อง เธอพูดๆๆๆไม่หยุด เหมือนคับแค้น อัดอั้นนมานานมาก แล้วก็มีภาพซ้อนของการกินเร็วๆของตัวเองเข้ามา เพื่อเฉลิมฉลองความสุขที่ขาดหายไปนาน  อาการอัดอั้นคับแค้นใจมันทำให้ปวดแปล๊บที่อกข้างขวาเป็นระยะ น้อทรู้สึกเหนื่อยและเผลอหลับไป  เช้าตื่นขึ้นมาเรารับรู้ได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังตัดพ้อเราด้วยที่เรามองข้ามเค้าไป แล้วก็ไปเรียนวันที่2 ด้วยอาการเจ็บอกเป็นระยะเช่นเดิม เรียนจบกลับมาก็ยังเป็นอยู่ มีอารมณ์กรุ่นๆเป็นพักๆ ที่ผ่านมาระยะหลังน้อทมีอาการอยากตะโกนอยากกรีดร้องออกมา อยากบอกเค้าว่า”อย่ามาทำ อย่ามาพูดกับฉันแบบนี้!!!!!”กับใครก็แล้วแต่ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกล้ำเส้น จนเมื่อคืนนี้มันเหมือนตะกอนความโกรธอะไรก็ไม่รู้มันพุ่งขึ้นมาเหมือนเราแค้นใครอยู่แล้วเราทำอะไรเค้าไม่ได้ ลูกเข้ามาถูกจังหวะพอดี น้อทตะคอกใส่ลูก แล้วลูกก็แหงนหน้ามองด้วยแววตาที่เจ็บปวด มีภาพเด็กน้อยของเราซ้อนไปที่ลูก แล้วเขาก็เปร่งเสียงออกมาด้วยความเสียใจ เจ็บปวด คับแค้นข้องใจ “ทำไมผู้ใหญ่ต้องมาดุหนู ต้องมาไล่หนูด้วย!!!!!! ฮืออออ เสียงดังมาก  แต่น้อทรู้สึกโล่งอกเหมือนได้ปลดปล่อยจากการกระทำของลูก เด็กน้อยของน้อทกับลูก เหมือนเราได้พูดออกไปแล้วพร้อมๆ กัน  วินาทีนั้นเด็กน้อยของน้อทผ่อนคลายขึ้น ทันทีที่น้อทเห็นภาพซ้อนของตัวเองที่ลูก มันเป็นอัตโนมัติมาก น้อทรู้เลยว่าเด็กน้อยภายในและตรงหน้าต้องการคนกอด น้อทลูบหลังเค้า สงบโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เค้าระบาย ร้องไห้ออกมา  ลูกน้อทและเด็กน้อยของน้อทกำลังร้องไห้ระบายและน้อทก็ได้กอดเค้าไว้ทั้งสองคน  ลูกน้อทสงบลง ตัวน้อทเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้น  น้อทได้ดูแลลูกก็เปรียบเหมือนได้ดูแลเด็กน้อยของเราด้วยเช่นกัน วินาทีที่ลูกตะโกนถามน้อท มันเปรียบเหมือนเด็กน้อยของเราได้ตะโกนถามคนอื่นด้วยเช่นกัน มันเหมือนฉันทำได้ ฉันกล้าที่จะพูดออกไปแล้ว… Continue reading …ลูกช่วยปลดปล่อยเด็กน้อยในใจแม่…

ป่วยเพราะปิดกั้น

ตั้งแต่วัยเด็กแล้วที่ผมมักป่วยง่ายและอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เดินทางไกลเปลี่ยนที่ทีก็มักเป็นหวัดไม่สบาย ขึ้นรถและอยู่ห้องติดแอร์ก็มักวิงเวียน  โตขึ้นจึงได้หมอวินัจฉัยว่าเป็น ภูมิแพ้อากาศ พร้อมกับให้ยาทานที่ทำให้ผมเพลียและคลื่นไส้อาเจียนไปหลายวัน อยู่ใกล้คนจำนวนมากๆ ก็ทำให้ผมอ่อนแอเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นคนที่อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมพอสมควร นี่คงเป็นหนึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมเคยชินกับการอยู่ลำพังสันโดษ ในอาณาจักรขนาดเล็กของตน ณ ที่เราสามารถจัดการดูแลพื้นที่ของตนให้ตัวเราสบายใจได้ แต่เมื่อล่วงวัยมาอีกระดับหนึ่ง ผมกลับหายจากอาการภูมิแพ้อากาศและแข็งแรงขึ้น จากร่างกายที่ผอมแห้งและหม่นหมอง เป็นสมบูรณ์และผ่องใสขึ้น ไม่ได้เกิดจากกาลเวลา บางทีเวลาป่วยไข้เราก็อยากจะนอนจนมันหายป่วยแล้วลุกขึ้นไปใช้ชีวิตต่อ ความจริงแล้วเวลาไม่ได้ช่วยเรา แต่เป็นการเดินทางของร่างกายและหัวใจผ่านกาลเวลา แม้ในยามเรานอนหลับ พันธมิตรในเนื้อหนังมังสาก็หาญกล้าต่อกรกับผู้รุกรานและเหนื่อยซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่ซึกหรอ เหล่านี้เรียนรู้กันตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ย้อนมองกลับไป ผมเห็นว่าตนเองแช่มชื่นใจสดใสขึ้นเมื่อยามเปิดรับสิ่งต่างๆ ในชีวิต ทั้งสมหวังผิดหวัง เหลียวแลมองโลกหลากแง่มุม ออกจากมุมมืดที่ตนเองเกาะกุม ตอนที่ผมย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมโดนเพื่อนแกล้งมาก โดนล้อหนักมาก จนไม่อยากพูดกับใคร อยู่โรงเรียนจึงเป็นเด็กเงียบๆ เรียบร้อย เป็นจนถึงมัธยมต้น แต่พอวันหนึ่งได้เข้าค่ายลูกเสือที่ภูเขาแห่งหนึ่ง เพื่อนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเปลี่ยนไปในตอนนั้น กลายเป็นคนร่าเริงแจ่มใส สนุกกับการเดินทางไกล อ้อมกอดของภูเขาที่แม้จะร้อนและใบแห้งสีน้ำตาลมากว่าเขียวสด เติมลมหายใจให้กับเด็กน้อยผู้เคยโดดเดี่ยวท่ามกลางตึกปูนปั้น หลังจากร่ำเรียนกับครูน้อยใหญ่นอกโรงเรียน เห็นว่าตนเองมิได้ป่วยเพราะบรรยากาศรอบตัวเท่านั้น แต่เพราะบรรยากาศของใจด้วย มีขยะในนั้นที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่ารบกวนชีวิต ทั้งความคิดว่าตนเอง “อ่อนแอ” “ไร้คุณค่า” “ยากที่มีใครรัก” “คนอื่นๆยอมรับแต่ด้านที่ดีของผมและต้องตามใจเขา” “ผมต้อยต่ำและยากจะมีใครเข้าใจ” ความมืดมนในใจก่อตัวเหมือนเมฆดำ… Continue reading ป่วยเพราะปิดกั้น

ค้นพบตัวเองอย่างต้นไม้

    หลังจากเราย้ายบ้านขององค์กรและที่จำศีลของตนเอง ผมพบว่าการปลูกต้นไม้ และเฝ้าดูแลการเติบโตของพี่น้องแตกใบเหล่านี้ให้ความสุขในแบบที่ไม่คิดฝัน ท่ามกลางพื้นที่เล็กๆ พวกเขาทยอยสร้างความประหลาดใจและความอิ่มใจกับการทักทายมนุษย์ผู้อาศัย ด้วยการพิสูจน์ที่ทางของการมีชีวิต ดินกระถางน้อยๆ ถูกแต้มด้วยกลีบใบทีละนิดดุจหยดสีลงในผืนผ้าน้ำตาล ต้นอ่อนทานตะวันลากเลื้อยตัวเองไขว่คว้าหาแสงสว่าง ต้นตำลึงที่ไม่ได้ปลูกเองแต่คิดหวังในใจอยากปลูกมาร่วมสองเดือน จู่ๆ ก็ผุดงอกขึ้นใกล้ท่อน้ำ สายลมใดพัดพามากันหนอ กระทั่งยามลงต้นไผ่หน้าเรือน ผู้ใจบุญก็นำต้นไม้และโอ่งน้ำมามอบให้ทันที   ผมไม่ได้ปลูกต้นไม้เพราะเป็นงานอดิเรก หรือเป็นความจำเป็นของการแต่งบ้าน แต่เพราะความสุขและคุณค่าอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้สังเกตในคราวแรก แอบซ่อนอยู่ในการกระทำ คนเรามีที่ทางการค้นพบตัวเองได้หลากหลาย และมีที่ทางให้ตนเองหยัดยืนได้เสมอ บางครั้งเราก็ได้แต่รดน้ำและมองดูการต่อสู้กับความมืด จนกระทั่งมันงอกใบสู่แสงสว่างด้วยตนเอง บางครั้งเราก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ตนและคนอื่นได้บ้าง แต่กระนั้นทุกชีวิตมีหนทางและที่ทางให้ตนเองแตกใบ แม้มันไม่ใช่วันนี้ก็ตาม   การค้นพบตัวเองอาจจุดประกายขึ้นในการอบรม จากวิทยากรและกระบวนการต่างๆ หรือการแสวงหาด้วยวิถีนานา อาจบ่มปัญญาจากการสะท้อนและการถูกวิจารณ์จากผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นเหมือนกับรดน้ำทีละครั้งทีละครั้ง แก่เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในเนื้อตัวและนาใจ คำสอนที่ดีและประสบการณ์ที่ดีอาจเป็นปุ๋ยเลอคุณค่า ความทุกข์เน่าเปื่อยกลายเป็นซากก็ล้วนเกื้อกูลต่อการเติบโต กระนั้น เมล็ดพันธุ์ใดใดจะงอกงามขึ้นมาได้ ปัจจัยภายนอกมิเคยเพียงพอ แต่ด้วยลงมือทำเพื่อก้าวข้ามจากเปลือกเมล็ดพันธุ์สู่ต้นอ่อนและทยอยเหยียดยอดใบสู่แสง เป็นหน้าที่ของชีวิต   เราก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าข้างในตนเองเป็นอะไร จะมีสีสันสักเพียงไหน จนกว่าเราจะยอมโตขึ้นและแตกกิ่งใบออกมา เมื่อดอกแย้มบานเราจะเห็นว่าตนเองงามเพียงใด ผมค้นพบแรงผลักดันตนเองระหว่างการลงดิน รดน้ำ จัดแจงหาที่ทางแก่ต้นอ่อนน้อยๆ ว่าผมมีความสุขกับการบ่มเพาะและหยั่งเห็นการเติบโตมาก เป็นความสุขที่สงบใจ ไม่ต้องใฝ่หาจากสิ่งใด… Continue reading ค้นพบตัวเองอย่างต้นไม้