ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ

 

หายใจเข้า วันเวลาเดินทางมาพร้อมลมหายใจ กาลเวลามาสู่เราเป็นธรรมดา ลมหายใจมาสู่เราเป็นความจริงของชีวิต สิ่งต่างๆเข้ามาผูกพันใจเป็นความจริงธรรมดา เรามิอาจหนีลมหายใจ การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีชีวิต

หายใจออก เรามิอาจเลี่ยงหายใจออก ลมหายใจกลับคืนสู่บ้านตามธรรมดา การพลัดพรากเป็นความจริงของชีวิต เว้นพื้นที่ให้วันเวลาใหม่เติมเต็ม เรามิอาจยื้อลมหายใจออก การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีที่จะมีชีวิต

เราอาจรู้สึกว่าสิ่งใดยิ่งพยายามหลบเลี่ยงหรือหลีกหนีก็ยิ่งเจอะเจอ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หายใจเข้า

ลองหนีลมหายใจออก ไม่หายใจออก อัดอั้นไว้สักครู่ เราจะยิ่งรู้สึกจะต้องหายใจออก ยิ่งหายใจออกชัดเจน อาจหอบโล่งออก อาจยิ่งหายใจถี่กว่าเดิมหากกลั้นไว้นาน

หายใจออก เรายิ่งหนีการหายใจ เรายิ่งเจอะเจอการหายใจ เพราะร่างกายมิอาจขาดลมหายใจ เพราะการหายใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะการที่ชีวิตต้องหล่อเลี้ยงด้วยลมหายใจเป็นความจริงที่เรามิอาจปฏิเสธ

บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เราหนีบางสิ่งมาโดยตลอดยิ่งดั่งมีแรงดึงดูดจากตัวเรา ดึงให้สิ่งเหล่านั้นที่เราไม่อยากพบเข้าใกล้ เราอาจพลอยตำหนิว่า เป็นเพราะตัวเราไม่ดี สิ่งต่างๆเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น หรือเราอาจพลอยคิดเชื่อว่า ชีวิตเราเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งไม่ดีเหล่านั้นเสมอ

เมื่อเรายิ่งพบเจอสิ่งเหล่านั้นที่มิต้องการเจอะเจอ เราก็ยิ่งทุกข์ใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งลูกศรดอกแรกที่ทำให้เราทุกข์ แต่เราก็ทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำด้วยลูกศรดอกที่สองคือความคิดความเชื่อที่ตอกย้ำตัวเองในทางลบอย่างผิดๆ

หายใจเข้า เราไม่ใช่คนผิดหากว่าการหายใจเข้า พาสิ่งสกปรกในอากาศ หรืออากาศอันเป็นมลภาวะเข้าสู่ร่างกาย แต่สิ่งไม่ดีเหล่านั้น มีอยู่แล้วในอากาศรอบตัวเรา

บุคคลเหล่านั้นที่มีบางสิ่งรบกวนใจเรา เขาเป็นอยู่ และเป็นมาด้วยวิถีของเขาอยู่แล้ว เรามิใช่ต้นเหตุหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเหล่านั้นเข้ามา  พวกเขาเพียงมีอยู่บนโลก มีและเป็น ทั้งดีและเสีย เช่นเดียวกันกับตัวเรา

หายใจออก หากเรารู้สึกว่ายิ่งพยามหนีสิ่งลบร้ายก็ยิ่งเจอะเจอ ลองใคร่ครวญและนับจำนวนว่า สิ่งที่เราหนีแล้วเจอในตอนนี้นั้นมีอยู่จำนวนเท่าใด เป็นคน มีกี่คน  แล้วลองมองใหม่  ลองนับว่าสิ่งดีๆหรือคนดีๆรอบตัวเราในช่วงเวลาเดียวกันมีอยู่เท่าใด

สิ่งที่เราพยายามหนีแล้วเจอะเจอนั้นอาจมีจำนวนอยู่น้อยมากนักหากเทียบกับสิ่งอื่นๆ หรือคนดีๆ ที่เรามีโอกาสได้เจอ แต่เมื่อเราให้ความใส่ใจหรือความสนใจไปที่สิ่งใด การตีความของใจเราย่อมยึดมั่นและขยายใหญ่จนเกินจริง

เราจึงรับรู้สิ่งที่ใจเราสนใจได้มาก จนกลบบังสิ่งอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียง เมื่อเราจ่อมจมกับด้านลบของใครคนหนึ่ง หรือปัญหาบางส่วนเสี้ยวที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ ใจเราก็ถูกเกาะกุมด้วยความไม่พอใจ ด้วยความกลัวหรือหวาดระแวง ทั้งที่มีสิ่งที่ดีงามมากมายในตัวเขาหรือระหว่างกัน

หายใจเข้า แล้วเราจะเลือกใส่ใจหรือสนใจสิ่งที่บั่นทอนตัวเรา หรือสิ่งที่มอบคุณค่าแก่ชีวิต

แง่หนึ่ง เรายิ่งหนีก็ยิ่งเจอะเจอสิ่งเหล่านั้น เพราะใจเราให้คุณค่าและใส่ใจในสิ่งนั้นมาก ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ลึกๆ ในใจเราอาจยังคงหวาดกลัว หวาดระแวงคนแบบนั้น หรือสิ่งแบบนั้น จนมองเห็นแต่สิ่งที่กลัว เด่นชัดกว่าสิ่งอื่น

บางทีจักรวาลก็ต้องการให้เราเห็นว่าสิ่งเลวร้ายนั้นหรือคนที่รบกวนใจเรานั้น เขาซ่อนคุณค่าหรือสิ่งสำคัญที่เราต้องเรียนรู้หรือนำของดีที่เขามีมาใช้  หายใจออก

ถ้าเราเป็นคนเห็นคุณค่าในตัวเองน้อย เราอาจได้เจอคนที่มั่นใจในตนเองจนน่าเกลียดหลายครั้งหลายหนจนรู้สึกหงุดหงิด  แท้แล้วคนที่รบกวนใจเรามักสะท้อนบางสิ่งที่เราละเลยในตนเอง

เรามิอาจหนีบางสิ่งได้ เพราะเราจำเป็นต้องเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นให้เต็มที่เสียก่อน

หายใจเข้า ประหนึ่งข้อสอบชีวิต เราสอบตกหรือพลาดเรื่องใด ครูจักรวาลก็จะนำข้อสอบนั้นมาให้เราทำใหม่ สอบซ่อม อาจปรับปรุงแก้ไขข้อสอบใหม่ แต่เนื้อหาหรือแก่นสารยังคงเดิม เราอาจต้องเรียนรู้ประเด็นแบบนี้จากอีกคนหนึ่ง เมื่อเราหลีกหนีที่จะแก้ไขหรือหาทางออกในเรื่องเดียวกันกับอีกคนหนึ่ง

หายใจออก หากเรามีปัญหากับการสื่อสารคนที่บ้านมากเหลือเกิน  เราจะต้องได้เรียนรู้การสื่อสารและการรับฟังจากคนอื่นที่เจอะเจอกับเรา เรารู้สึกว่าที่บ้านมิอาจให้ความเข้าใจได้เต็มเปี่ยม แต่อาจมีเพื่อนวิจารณ์ตนว่าไม่ฟังหรือให้ความเข้าใจเขาเลยก็เป็นได้

เหตุการณ์ที่เราหลีกเลี่ยงอาจเป็นกระจกสะท้อนเงาของตัวเราเอง  สิ่งใดที่เราไม่รู้เท่าทันในตัวเรา แม้หลบหนีเพียงใดก็เหมือนเงาตามตัว  เงาของตนนั้นทาบทับคนหรือสิ่งต่างๆ รอบข้าง ปรากฏให้เราเห็นเพื่อยอมรับตนเอง

เรายิ่งหนียิ่งเจอะเจอ เพราะสิ่งเหล่านั้นก็เพียงความจริงธรรมดาที่เราต้องยอมรับ เป็นเพียงความจริงที่มีอยู่ เราหนีก็ย่อมต้องเจอะเจอเพราะเป็นความจริงที่มีอยู่แล้ว หากเราหนีการผูกพันเพราะกลัวการพลัดพราก เราก็ยิ่งเสี่ยงจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนใกล้ตัวและครอบครัว เพราะการจากลาเป็นความจริงธรรมดาที่ต้องพบเผชิญ แต่การละเลยการสื่อสารและการดูแลกันอย่างใส่ใจ ก็ย่อมนำมาสู่ความเหินห่างของความสัมพันธ์ นี่ก็เป็นความจริงที่มีอยู่  ยิ่งหนีก็ยิ่งต้องเจอะเจอเพื่อแก้ไขตนเอง

เรายิ่งกลัวเกรงที่จะยอมรับและเรียนรู้ความจริงข้อใด เรายิ่งต้องพบเหตุการณ์เพื่อพาเราเรียนรู้และยอมรับความจริงข้อนั้น ยิ่งเราหนีจากความจริงของชีวิต เราย่อมเสี่ยงที่จะไม่เข้าใจชีวิต

หายใจเข้า สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นในโลกส่วนตัวของเรา เหตุการณ์ต่างๆ ประหนึ่งแขกมาเยี่ยมเยือนชีวิตเพื่อแจ้งข่าวสารต่างๆ กับตัวเราเสมอ เรามิยอมรับแขก เขายิ่งเคาะประตูเสียงดัง หรือรอดักเจอเราจนได้ เพราะเขามีของขวัญและข่าวสารจากจักรวาลล้ำค่าที่ต้องมอบให้แก่เรา เพราะมันมีความหมายต่อชีวิต

ลมหายใจเข้าก็กำลังบอกกล่าวแก่เราว่า เรากำลังมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ อดีตล่วงลับแล้ว อนาคตกาลยังไม่เยี่ยมกราย เรากำลังมีชีวิตอยู่ เรากำลังมีโอกาสเลือกใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม หากเราละเลยข่าวสารจากลมหายใจ อาจหลงลืมว่าชีวิตนี้มีค่ามากเพียงใด

ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเพียงตั้งอยู่ มีความเสื่อมและดับ เราเห็น ด้วยสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงอยู่ธรรมดา ยิ่งหนียิ่งได้เห็น เพราะใจเราเองก็ต้องการการยอมรับ

หายใจออก  สำหรับผู้สนใจการเขียนเพื่อการขัดเกลาตนเอง ลองบันทึกไม่หยุดปากกาในเวลาครู่ใหญ่ว่า ชีวิตที่ผ่านมา เราพยายามหนีสิ่งใด สิ่งเหล่านั้นทำให้เราทุกข์และกลัวอย่างไร

ก่อนน้อมนำมาใคร่ครวญ บันทึกต่อว่า แล้วสิ่งเหล่านั้นที่เราพยายามหลีกหนี ต้องการบอกอะไรแก่เรา มีคุณค่าอะไรที่จำเป็นต่อตัวเราที่ซ่อนอยู่ในคนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้น เราจะยอมรับและเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างไร

หายใจเข้า เราเลือกได้ที่จะหนี หรือยอมรับอย่างที่เป็นจริง เราเลือกได้ที่จะยอมตนให้แก่ความกลัว หรือน้อมนำความกล้าหาญทำสิ่งที่ถูกต้อง เราเลือกได้ที่จะเดินหน้าเข้าหาชีวิต แม้ไม่รู้อย่างเต็มร้อยว่ามีสิ่งใดระหว่างทาง หรือจะเลือกหนีจากชีวิตด้วยไม่อาจยอมรับความทุกข์ในหัวใจ

มิว่าเราจะเลือกหนีความจริงด้วยวิธีการใด ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอความจริงเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นเพียงมีอยู่ ให้เรายอมรับและเข้าใจ เพื่อชีวิตได้เรียนรู้บทเรียนในเทอมนี้  สำหรับก้าวย่างเทอมใหม่

หายใจออก อย่าลืมความจริง ณ ปลายจมูก อย่าทอดทิ้งความจริงในร่างกายที่สะท้อนบอกสัญญาณมากมาย หากเราหนีความจริงที่ว่า คนเราควรใส่ใจดูแลร่างกายตนเอง และ ร่างกายกับชีวิตมิใช่สิ่งคงทนถาวร จนมิละเลยมิมองความจริงในร่างกายตนเองแล้ว ความป่วยไข้อันหนักหนาก็จะเตือนเราเอง

 

IMG_1981

 

ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร ห้องเรียน วิถีครู

คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #16