ความไม่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต

 

…นอนตากฉี่จักจั่นดั่งละอองน้ำค้างยามบ่าย มองแสงแดดรำไรผ่านกิ่งไม้ใบไม้และก้อนเมฆเลื่อนลอย ทอดกายใจกับสายลมพัดผ่านในพื้นที่โล่งกว้าง พร้อมอ่านหนังสือไปด้วย ครึ้มอกครึ่มใจก็ลงแรงขุดคูข้างๆ พรวนดินและแต่งสวน ดูแลสิ่งต่างๆ ทั้งในและบริเวณรอบแปลงผักนั้นเสมือนโลกใบที่สาม โดยมีบ้านเป็นโลกใบแรก และห้องสมุดเป็นโลกที่สอง

กลายเป็นว่าวิชาที่ชอบน้อยที่สุดกลับเปลี่ยนชีวิตของผมไป ทำให้ฝันถึงการมีสวน ที่ดิน และการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ นับตั้งแต่นั้นมา แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณคือความยากจนที่ทำให้ไม่ได้เรียนพิเศษเหมือนเพื่อนๆ ซึ่งเรียนกันเกือบทุกคน ระหว่างที่เขากำลังคลุกคลีในห้องเรียน ผมก็มานอนข้างแปลงผักหรือทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยตรงนั้นตั้งแต่ช่วงสาย เพื่อนที่ทำแปลงผักด้วยกันเมื่อเรียนเสร็จประมาณช่วงบ่ายก็จะมารวมตัวกันกับผม

…โครงงานวิชาเกษตรทำให้ชีวิตจากที่เหี่ยวแห้งอย่างมากในการเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย ทำตัวดี คลุกคลีในห้องสมุด ได้พบสีสันแห่งความสุขใหม่ๆ เช่นเดียวกันกับการเจอเพื่อนช่วงชั้นมัธยม ซึ่งต่างมีบุคลิกแตกต่างจากผมมาก และอาจจัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เด็กเรียนไม่ควรคบหา เพราะพาไปพบทั้งการโดดเรียน การวิวาทต่อยตี เหล้าสุรา และเรื่องนอกคอกทั้งหลาย แต่พวกเขากลับทำให้ผมเห็นโลกที่มากกว่าในห้องเรียน และทำให้ตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กดีเรียนเด่นก็มีความสุขได้

หลังคบหาเพื่อนใหม่ เกรดเฉลี่ยค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเด็กคะแนนปานกลาง บางครั้งก็ได้คะแนนอยู่อันดับรั้งท้ายของห้องคิงห้องควีน แต่ปริมาณความสุขในชีวิตค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่ถึงขนาดร่าเริงแจ่มใส เก็บกดก็มากอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่ดีให้ค้นหา แม้จะเป็นกลุ่มเด็กเกเรอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อผมลำบากเรื่องเงิน พวกเขาก็เคยช่วยเหลือ

ในขณะที่โรงเรียนพยายามให้เด็กเรียน อยู่กับเด็กเรียนด้วยกันมากกว่า จึงจับแยกมาอยู่ห้องต้นๆ นำพวกเด็กเกเรไปกองอยู่รวมกันในห้องท้ายๆ เพราะไม่อยากให้เด็กพวกหนึ่งฉุดรั้งเด็กอีกพวกหนึ่ง และโรงเรียนสามารถเลือกสอนสิ่งยากๆ ให้เด็กหัวขบวน เลือกสอนสิ่งที่ง่ายหรือซับซ้อนน้อยกว่าให้เด็กรั้งท้าย

มันเป็นภาพที่ล้อกันไปกับค่ายเยาวชนสองสามค่ายที่ผมจะได้เข้าหลังจากนั้น เด็กหลากหลายพื้นเพ มาจากในเมืองบ้าง ชนบทบ้าง มีทั้งเด็กเรียน เด็กเกเร และเด็กกลางๆ ตามเพื่อน เกิดเป็นจุดที่กระแสธารอันหลากหลายไหลมาบรรจบ ทำให้เห็นหลากหลายแง่มุมในเรื่องเดียวกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีสีสันอย่างมาก สนุกบ้าง เครียดบ้าง เกือบทะเลาะเบาะแว้งกันก็มี แต่สุดท้ายทุกๆ ฝ่ายก็เรียนรู้จากกันได้ เมื่อบรรยากาศของกลุ่มถึงจุดที่ทุกคนยอมรับในกันและกันว่า ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

ด้วยความรักความห่วงใยต่อบุตรหลาน พ่อแม่ผู้ปกครองก็จะพยายามจำกัดสังคมของลูก ไม่อยากให้คบคนแบบนั้นแบบนี้ เพื่อมิให้ลูกของตนหลงทิศหลงทาง แต่เส้นทางเช่นนั้นจะนำให้เขาได้พบกับความสุขของชีวิตที่แท้จริงได้หรือไม่ หรือทำให้เขาเลือกชีวิต ด้วยการรับมือกับความกลัวหรือปมในใจของผู้ใหญ่เท่านั้น

…ชีวิตคนเราก็มีท่าทีคล้ายกันกับโรงเรียนในระบบภาครัฐ และความห่วงใยของพ่อแม่ผู้ปกครองดังที่กล่าวมา คือ อยากให้ลูกตนได้อยู่กับสิ่งดีๆ คนดีๆ หวังดึงดูดสิ่งที่สมบูรณ์เหมาะสมเข้ามา อยากผลักสิ่งร้ายๆ ออกไปให้พ้นตัว ปัดกวาดไปอยู่กองรวมกันที่อื่น เก็บไว้แต่ความสุข ไม่อยากพบปะเจ้ากรรมนายเวร อยากพบแต่กัลยาณมิตร แต่ถ้าเราไม่ได้เจอความแตกต่างและสิ่งร้ายๆ บ้างเลย เราจะเติบโตได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่

การที่ผมเป็นเด็กห้องคิงห้องควีนมาตลอดแล้วได้คบหากับเพื่อนที่อยู่ห้องต่างๆ กลับช่วยเติมเต็มชีวิตมากกว่าการนั่งเรียนวิชาต่างๆ ในห้องตัวเองเสียอีก มีบ้างบางช่วงที่ผมก็แอบไปนั่งเรียนนั่งเล่นอยู่ในห้องอื่น ทุกวันนี้ก็ยังเก็บมาหลับฝันถึงสถานการณ์นั้น ซึ่งตีความได้ว่า อาจสื่อถึงการออกจากพื้นที่ปลอดภัยหรือความคุ้นชิน แล้วนั่งเรียนนั่งเล่นในพื้นที่ใหม่ๆ ของชีวิต

ผมรู้สึกขอบคุณปมด้อยที่ทำให้ขาดความมั่นใจในช่วงอายุยังน้อย อันเป็นผลให้รู้จักฟังมากกว่าพูด ทำให้ได้รับความรู้หลั่งไหลเข้ามาหาตนเสมอ การเป็นนักฟังที่ดีสำคัญสำหรับครู ไม่แพ้การเป็นนักพูดที่ดีเลย ถ้าเราฟังดีพอ องค์ความรู้ใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นจากการหลั่งไหลถ่ายเทมาจากนักเรียนและแห่งหนต่างๆ ซึ่งมีมากมายมหาศาลกว่าออกมาจากครูเพียงผู้เดียว

ญะลาลุดดีน รูมิ รจนาบทกวีในชื่อ ปัญญามีมาแก่ผู้อ่อนแอ ไว้ว่า

“บ่อยครั้งที่คำปรึกษาอย่างเข้มแข็ง ถูกเสนอให้แก่ผู้อ่อนแอ ความเฉลียวฉลาดถูกสอนให้แก่ผึ้ง โดยพระผู้เป็นเจ้า ถูกยับยั้งที่จะให้แก่สิงโตและลาป่า
…ความชำนิชำนาญถูกสอนแก่ตัวไหมโดยพระผู้เป็นเจ้าซึ่งการเรียนรู้นั้นอยู่เหนือการเข้าถึงของช้าง”

นี่เป็นพรจากจักรวาลที่ค่อยๆ ถูกละเลยไปเมื่อผมมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ผมเริ่มพูดมาก ฟังน้อย และยึดถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ กระนั้นก็ยังถือในใจว่าความรู้ต่างๆ ที่นำมาสอนคนอื่น ผมเป็นแค่ผู้รับมาจากการหลั่งไหลเท่านั้น มันไหลเข้ามาเอง โผล่ขึ้นมาเอง มันเป็นของพระเจ้า จักรวาล และความเป็นครู อันเป็นสากล และเป็นไปตามปัจจัย

วัยเด็กได้สอนผมว่า การมีชีวิตที่ตกต่ำหรือยากลำบาก เป็นพรแห่งความไม่สมบูรณ์แบบอีกประการหนึ่งด้วยเช่นกัน ความยากจนของครอบครัวและสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่ไม่ปลอดภัย แม้มันจะบีบคั้นจนเป็นปมฝังใจสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เพราะเป็นที่ๆ ไม่สุขเกินไป จึงทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ตั้งแต่เยาว์วัย ชีวิตที่ไม่ได้สะดวกสบายก็เกื้อหนุนให้ยอมรับความจริงข้อที่ว่า โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา อาจจะง่ายกว่าผู้คุ้นเคยกับความสะดวกสบายเสียด้วยซ้ำ

ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ปมในใจ และความเจ็บปวดต่างๆ ที่แบกรับไว้เป็นน้ำหนักกดใจให้ต่ำลง กลับสามารถทำให้เป็นคนที่รองรับความทุกข์ได้ดี หมายถึง สามารถสัมผัสและซึมซับความทุกข์จากผู้คนต่างๆ และช่วยปลดเปลื้องให้พวกเขาได้ผ่อนคลาย มีคนเคยบอกผมว่า ผู้ที่ผ่านความทุกข์ตรมแบบนี้มักเป็นนักเยียวยาที่ดี เพราะหัวใจของผู้คนจะหลั่งไหลไปหาเขา ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายก็อยากระบายไปหาเขา ซึ่งคนที่มีแต่ความสุขร่าเริง ไม่มีปมใดๆ อาจไม่สามารถเข้าใจและเป็นที่พึ่งเช่นนั้นแก่คนอื่นได้

ผมนึกถึงข้อความหนึ่งในคัมภีร์ เต๋าเต็กเก็ง ซึ่งอาจารย์ประชาเป็นผู้แปลว่า

“ประเสริฐสุด เป็นดุจน้ำ
น้ำประเสริฐ
ให้คุณต่อสรรพสิ่งโดยดุษฏี
ไหลไปสู่ที่ต่ำแม้มนุษย์รังเกียจ
นี่ถือว่าอยู่ใกล้เต๋า”

ครูที่นักเรียนเข้าถึงและเป็นที่พึ่งในยามยาก อาจไม่ใช่ครูที่สูงส่ง แต่เป็นผู้ที่ต่ำต้อยมากพอ วางตัวอยู่ในที่ต่ำได้ เหมือนชาวบ้านเลือกไปปรึกษาหมอผี หมอพื้นบ้าน หรือแม้แต่หมอเถื่อน มากกว่าไปหาอาจารย์แพทย์ในโรงพยาบาล หรือปรึกษานักวิชาการ เพราะคนกลุ่มแรก พวกเขาอยู่ต่ำเพียงพอที่จะเข้าถึง และเป็นที่พึ่งให้จับต้องได้ มิได้อยู่บนหอคอยงาช้างที่สูงส่ง

เจ้าชายสิทธัตถะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ แวดล้อมด้วยความสะดวกสบาย สมฐานะราชบุตรของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อทรงประสูติก็มีผู้ขุดสระน้ำให้ถึงสามแห่ง ได้รับทั้งเครื่องนุ่งห่มที่ดีที่สุด มีปราสาทถึงสามหลัง มีผู้คอยบรรเลงดนตรี มีผู้บำเรอกามสุข (ความสุขจากประสาทสัมผัส) มากมายเหลือคณา เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ อย่างที่ผู้คนทั่วไปปรารถนา

เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นความไม่สมบูรณ์แบบที่มีอยู่ในโลก อาทิ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความโศกความเศร้าหมอง ทำให้พระองค์ทรงมีดำริว่า

เรามีความเกิดอยู่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว 
 ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความเกิด 
 เรามีความแก่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว 
 ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความแก่ 
 เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว 
 ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้ 
เรามีความตายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว 
 ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความตาย 
 เรามีความโศกความเศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่แล้ว 
 ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความโศกความเศร้าหมอง *(๒)

ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงทรงตัดสินใจออกผนวช ละทิ้งความสมบูรณ์แบบทางโลก สละทิ้งความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ออกบิณฑบาตเป็นนิจ ทรงเดินทางเข้าหาความทุกข์ยากเดือดร้อน ณ หัวระแหงต่างๆ เลี้ยงชีพด้วยการรับบริจาคอาหารจากชาวบ้าน ไม่เหลือเค้าวรรณะกษัตริย์ที่เคยมี เพื่อแสวงหาทางดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง จนเกิดพระพุทธศาสนาและคำสอนที่มีประโยชน์ต่อคนหลายล้านถึงทุกวันนี้

เรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตของท่านทรงสอนเราเรื่องการออกจากพื้นที่ปลอดภัยและชีวิตที่ดีพอในทางโลกเป็นอย่างดี แต่การที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเช่นนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะทรงทอดพระเนตรเห็นความไม่ดีพอหรือความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตอันเป็นสัจธรรมด้วยพระองค์นั่นเอง จากเดิมที่ผู้เป็นพระบิดาพยายามปิดกั้นไม่ให้รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าพยายามจำกัดสังคมก็ว่าได้ แต่มือพ่อแม่ใหญ่เพียงใดก็ไม่ใหญ่ไปกว่าความจริง ไม่อาจปิดกั้นสายตาของลูกตลอดเวลา

ความไม่ดีพอก็เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิต ไม่แพ้สิ่งที่ดีพอเลย ในฐานะนักเรียน เราอาจจำเป็นต้องมีครูที่ไม่สมบูรณ์แบบบ้าง ประเภทที่พูดทำร้ายจิตใจ ไม่ฟังความเห็นนักเรียน หรือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เขาเหล่านั้นอาจไม่ได้ช่วยเหลือเราได้ทุกเรื่อง แต่เขาก็อาจมอบสิ่งที่ดีที่หาจากครูที่สมบูรณ์แบบกว่า หรือดีต่อใจเรามากกว่าไม่ได้เหมือนกัน

คนที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีพร้อม ไม่จำเป็นต้องดูสมบูรณ์แบบในสายตาผู้อื่นเสมอไป ผมรู้สึกชื่นชมครูดุๆ ที่ไม่ได้แสวงหาความเข้าใจจากนักเรียน แต่ท่านเข้าใจตนเองว่าทำอะไรเพื่ออะไร แม้จะมีบางด้านที่ท่านอาจทำผิดพลาดหรือไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีบ้างก็ตาม

เราไม่จำเป็นต้องมีครู หรือแม้แต่พ่อแม่ ที่สมบูรณ์แบบอย่างเดียว มิเช่นนั้นแล้วใครจะสอนให้เราเห็น ขาวในดำ ดำในขาว ได้เล่า

ผมคิดว่า การสอนแบบเดิมๆ ที่ครูบรรยายหน้าชั้นไม่ได้เป็นการศึกษาที่ล้าสมัย หรือเป็นศัตรูตัวร้ายต่อการพัฒนาการศึกษาของไทยเสียทีเดียว ครูที่บกพร่องไม่ได้สมบูรณ์แบบ มิได้เป็นฝันร้ายของการเรียนรู้วัยเยาว์เสมอไป หากครูเหล่านั้นมีอิสระมากพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง สามารถเลือกเนื้อหาที่จะสอนได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอิงกับหลักสูตรจากส่วนกลางอย่างเดียว

รูปแบบการสอนอาจไม่ใช่คำตอบของกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพเสมอไป

การสอนวิถีเก่าๆ ในแบบที่คนรุ่นใหม่เกลียด อาจให้ฉันทะในการฝึกฝนตนเองผ่านความยากลำบาก ชนิดที่การอบรมแบบจิตตปัญญา ชุดการเรียนสมัยใหม่ หรือกระบวนกร (Facilitator) อาจให้ไม่ได้เท่า…

ข้อความส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ดังนั้น จึงเป็นครู”
โดย ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์

สนใจหนังสือและกิจกรรมการอบรม ติดต่อได้ที่อินบ็อกเพจ สถาบันธรรมวรรณศิลป์ หรือไลน์แอด khianpianchiwit (มี @ นำหน้า)

 

สนับสนุนหนังสือ สถาบันธรรมวรรณศิลป์