แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้

  พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า… “สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ?” . “เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความจาก ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน? สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้วมีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้” *** . ความดีที่เรารักษาไว้ หลักการอันคร่ำเคร่ง คุณสมบัติน้อยใหญ่ สมาธิอันเป็นเลิศ ความเก่ง จนถึงปัญญาของตัวเรา อาจเป็นคุณค่าที่ทำให้เราพอใจและรักตัวเองอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้มากกว่าทรัพย์นอกตัวก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดเราก็นำเอาไปด้วยไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องตายลง หรือแม้วันเวลาหนึ่งเมื่อร่างกายทรุดโทรมลง สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมเลือนหายไป . เมื่อเรายึดเอาคุณค่าของตนเองไว้ที่สิ่งนอกตัวและในความเป็นตัวตนอันไม่ยั่งยืน เมื่อนั้นก็ยังมีความทุกข์จากการพลัดพรากและเสื่อมถอยของสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่วันหนึ่งก็วันใด แม้เรายังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็ยังมีทุกข์จากการต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น ต้องหวนแหนรักษาไว้ ต้องคอยปกป้องไม่ให้เสื่อมถอย ไม่ว่าทรัพย์ภายนอกก็ดี หรือคุณสมบัติในตัวเราก็ดี เมื่อนั้นก็ยังเป็นทุกข์อยู่ . ดังนั้นแล้วการพึ่งพาตนเองและธรรม ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นั้นคืออะไร ในเมื่อคุณสมบัติในตัวเราและสิ่งที่เราทำได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงยึดไว้เป็นที่ตั้งสูงสุด พระองค์ทรงตรัสต่อ ดังนี้ . “ภิกษุมีตนเป็นเกาะ… Continue reading แม้เป็นคุณค่าที่ทำให้ยินดีและเป็นสุขแท้

เมื่อเราพยายามต่อสู้กับสิ่งเลวทราม ด้วยการทำสิ่งเลวทราม

  “อย่าสร้างใบหน้าที่น่ารังเกียจ เพียงเพื่อเกลียดชังสิ่งที่เลวทราม อย่าเป็นจิตใจที่หยาบกระด้าง เพียงเพื่อแตกหักกับสิ่งไม่น่าคบหา” หากสิ่งใดหรือใครก็ตามมาเบียดเบียนเธอ และบั่นทอนคุณค่าและเกียรติแห่งชีวิตหรือศักดิ์ศรี เธอต้องการปกป้อง หรือกลายเป็นฝ่ายที่ร่วมทำร้ายคุณค่าและเกียรตินั้นของตนเอง ในเมื่อเธอไม่ชอบใบหน้าของพวกเขา ซึ่งอาจกระทำสิ่งที่ต่ำทราม ไยเธอจึงทำใบหน้าแบบเดียวกันนั้นเหมือนพวกเขา ตอนนั้น…เธอและเขาได้เป็นพวกเดียวกันอย่างไม่รู้ตัว ด้วยการด้อยค่าตัวเอง ลงไปเล่นเกมสกปรกของกิเลสนั้นด้วยกัน เธอไม่จำเป็น… ที่จะต้องมีจิตใจที่หยาบกระด้างขึ้น เพียงเพื่อสู้หรือหนีจากความทุกข์ที่เกิด เธอไม่จำเป็น… ที่จะต้องเฝ้าด่าทอหรือทำร้ายคนอื่น เพียงเพื่อดับความทุกข์ในใจ เธอไม่จำเป็น… ที่จะต้องกลายเป็นปีศาจร้าย เพียงเพื่อขับไล่ปีศาจออกไปจากหัวใจหรือบ้านเกิด เธอไม่จำเป็น… ที่จะต้องบั่นทอนตนเองด้วยความโกรธ ความเกลียดชัง และความเครียด เพียงเพราะมีใครเบียดเบียนและทำสิ่งที่มิควร เราต้องไม่ลืมว่าเราคือใคร และเราเป็นมากกว่าสิ่งเลวทรามทั้งหลายอย่างไร “ไม่มีทางที่ความดีงามจะเอาชนะ หากพยายามด้อยค่าความเป็นมนุษย์ ทำเช่นนั้นก็เพียงสร้างมารร้ายขึ้นมา ด้วยใจหวังดีที่แสนมัวหม่น” เมื่อเราพยายามต่อสู้กับสิ่งเลวทราม ด้วยการทำสิ่งที่เลวทราม เมื่อนั้นสิ่งที่เราเกลียดชังมันก็ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่คือตัวเราเองด้วย ความชั่วมักจะดึงดูดความเลวทราม เป็นงูกินหางที่พัวพันไม่จบสิ้น กิเลสเรียกหากิเลส โลภดึงดูดความโลภมาก ความคดโกงพาเข้าหาการคดโกง สัตว์โลกประเภทเดียวกันอยู่ร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกัน หากปรารถนาห่างไกลจากสิ่งใด เธอต้องทำตัวให้ไกลห่างจากสิ่งนั้น เมื่อความเลวทรามชนะความเลวทราม สิ่งที่เหลือก็คือความเลวทราม เธอต้องไม่ลืมที่จะเป็น ‘มนุษย์’ เธอจึงจะเอาชนะสงครามที่ยากจะต่อสู้ สิ่งนี้แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอย่างไร ต่างจากสุนัขและแมวที่ไล่ตีกันเพราะแย่งชิงพื้นที่ที่ปล่อยกลิ่นไว้อย่างไร หากเธอเป็นมนุษย์… Continue reading เมื่อเราพยายามต่อสู้กับสิ่งเลวทราม ด้วยการทำสิ่งเลวทราม

จิตที่โง่ คิดว่าเมตตาคือการเอาใจ จิตที่ฉลาด คิดว่าเมตตาคือการขัดใจ

  จิตที่โง่ คิดว่าเมตตาคือการเอาใจ จิตที่ฉลาด คิดว่าเมตตาคือการขัดใจ . คนทั่วไปมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเมตตา เรามักจะตัดสินว่าคนนั้นคนนี้เมตตาหรือไม่จากพฤติกรรมภายนอกที่ตอบสนองความต้องการของใจตนเอง มิใช่โดยเนื้อแท้ของความเมตตาธรรม จิตที่มีความโง่หรืออวิชชาบังตา จะเชื่อว่าคนที่เมตตาคือคนที่ตามใจ พูดหรือทำในสิ่งที่ใจเราอยากได้ ซึ่งอาจเรียกอย่างแทงใจว่า กำลังเอาใจอยู่ เป็นผู้ที่เมตตาหรือรักเรา นี่คือตัดสินไปตามอำนาจของตัณหาหรือความอยากของตนเอง จิตฉลาดจะเข้าใจการมีเมตตาด้วยปัญญา ความรักความกรุณามิใช่สิ่งที่แสดงออกตรงตามทัศนคติที่เรามีหรือตรงตามความคาดหวังเสมอไป แต่โดยเนื้อแท้มีความไม่จองเวรและไม่ปรารถนาให้เราจองเวร นั่นคือความเมตตาที่แท้จริงตามหลักพุทธศาสนา การตีความอย่างผิดๆ เกิดขึ้นจากอคติที่มี ซึ่งโน้มเอียงไปตามลักษณะทั้งสี่ ได้แก่ ความชอบ ความชัง ความหลง และความกลัว อคติเหล่านี้คือต้นเหตุหนึ่งของความโง่เขลาของจิตใจ หากอีกฝ่ายมีท่าที หรือคำพูดที่สอดคล้องกับความชอบหรือความหลงที่เรามี จิตก็อาจนึกคิดตีความว่า นั่นคือการมีเมตตา ดีงาม ถูกต้อง ไม่มีอีโก้ ฯ หากอีกฝ่ายมีท่าที หรือคำพูดที่ตรงกับความชังหรือความกลัวที่เรามี จิตก็อาจนึกคิดตีความว่า นั่นคือการไม่มีเมตตา ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง มีอีโก้ ฯ การมีเวร คือการผูกใจไว้ด้วยความโลภ โกรธ และหลง ทำให้มีความเกลียด ความเคียดแค้น ความหวง ความกลัว ความใคร่ การอยากเอาชนะ… Continue reading จิตที่โง่ คิดว่าเมตตาคือการเอาใจ จิตที่ฉลาด คิดว่าเมตตาคือการขัดใจ

6 สิ่งที่ควรพัก เพื่อให้กายใจได้พักอย่างแท้จริง

  การพักคือการหลีกเลี่ยงเหตุแห่งความดิ้นรน (6 สิ่งที่ควรพัก เพื่อให้กายใจได้พักอย่างแท้จริง)   เราต้องเข้าใจเหตุ (สมุทัย) แห่งความทุกข์หรือในที่นี้คือความเหนื่อยล้า ก่อนที่จะเข้าใจว่าการพักให้หายจากความเหนื่อยล้า (นิโรธ) และทางออก (มรรค) นั้นเป็นอย่างไร ความเหนื่อยล้าที่ทำให้เราต้องพักมีสองส่วน ความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ และความเหนื่อยล้าจากอิทธิพลในจิตใจ . อาจมีบ้างที่เราเคยทำกิจกรรมบางอย่างที่รู้สึกสนใจหรือชื่นชม ลงมือทำติดต่อกันยาวนานแทบไม่ได้หยุดพัก แต่เรากลับรู้สึกมีพลังและไม่เหน็ดเหนื่อยในการกระทำเหล่านั้นเลย ลงมือทำแล้วเหมือนได้พักไปในตัว เพราะสิ่งที่อยู่ในจิตใจ ณ เวลานั้นเอื้อให้เกิดพลังกายใจที่ดีให้มีมากขึ้น หรือช่วยให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าต่างๆ ออกไป . บางครั้งภายนอกได้หยุดพัก แต่ภายในไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง จึงเป็นเหตุที่ทำให้ยิ่งเหนื่อย หรือไม่ได้ฟื้นฟูสภาพกายใจให้พร้อมสำหรับการทำงานต่อเท่าที่ควร บางครั้งเราอาจเห็นว่าสถานการณ์ในช่วงนี้ก็ไม่ทำให้เราเหนื่อยมากนักเลย แต่เหตุใดข้างในกลับรู้สึกโรยล้า ขาดพลัง และอยากพักอยู่เรื่อยๆ นั่นเป็นเพราะว่าในจิตใจเรายังไม่ได้พักอย่างแท้จริง และบางสิ่งในจิตใจทำให้เราอ่อนล้ามากกว่าปัจจัยภายนอก . บางสิ่งข้างในที่ทำให้เราเหนื่อยล้านั้น ก็คือความดิ้นรนทั้งหลายของจิตอันไม่อาจหาความนิ่งสงบลงได้ เหมือนวิ่งวุ่นอยู่ข้างในไม่สิ้นสุด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีเวลาพักมากเท่าใดก็ไม่เพียงพอ เราจึงต้องพักหรือหลีกเลี่ยงจากเหตุที่ทำให้จิตดิ้นรนจนบั่นทอนพลังกายใจลง อาทิเช่น . 1. พักจากความอยาก หากเราไม่ได้พักตนเองจากความอยากแล้ว เมื่อถึงเวลาว่างมันก็จะลากพาเราไปเรื่อยๆ จนไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง มันอาจชวนเราไปทำอย่างโน้น ไปทำอย่างนี้ ตามความอยาก… Continue reading 6 สิ่งที่ควรพัก เพื่อให้กายใจได้พักอย่างแท้จริง

ความไม่มี…มิได้ลดทอนสิ่งที่มี

  “ลองฟังเสียงแห่งความโดดเดี่ยวด้วยหูของเธอ มองความอ้างว้างด้วยสายตาคู่นั้น นิ่งงันแต่แน่วแน่ในที รู้สึกถึงกายที่เดียวดายตอนนี้ เพื่อเราจะอยู่ด้วยกัน” . เมื่อเธอรู้สึกอ้างว้างหรือเดียวดาย อย่าเพิ่งรีบหนีหรือสู้กับความเหงานั้น เธอจะยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้น และความเหงานั้นก็จะกลายเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ที่โอบล้อมเธอไว้อย่างมืดมน สบตากับความอ้างว้างก่อน เพื่อให้เห็นตัวเธอเองที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในเงาอันมัวหม่นตรงนั้น ความเหงาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่การรีบหนีหรือสู้กับความเหงานั้นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ลองฟังเสียงรอบๆ ตัวเธออย่างที่เป็นจริง มันเลวร้ายและกัดกินใจจริงๆ หรือไม่ ลองมองไปรอบๆ กาย มองดูความอ้างว้างให้เห็นกับตา มันมืดมนจริงๆ หรือเธอเลือกอยู่ในมุมที่แสงสลัวเกินไป ช้าลงและกลับมาหาคนที่เธอกำลังจะทอดทิ้งเขาไปอีกครั้ง ร่างกายที่อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างหัวใจอยู่เสมอ เขาอยู่ตรงนี้ไม่คิดทิ้งไปไหน แค่กลับมารู้สึกถึงเขา รู้สึกถึงร่างกายที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเธออยู่กับเขาอย่างแท้จริง เธอก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ในห้วงเวลาที่ใจของเธอได้กลับมาอยู่กับตนเอง นิ่งงันแต่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว การเผชิญกับความเหงาทำให้เธอเห็นความกล้าหาญของตนเอง ไม่มีสิ่งใดที่เธอต้องหนีหรือสู้อีกต่อไปแล้ว ในห้วงเวลานี้เองที่เธอกำลังเป็นหนึ่งเดียวทั้งกายและใจ และเธอก็กำลังเป็นหนึ่งเดียวกับเรา-ผู้คนอีกมากมายที่กำลังพาใจกลับมาอยู่กับความว่างเปล่าอย่างสงบและกล้าหาญ ความเงียบสงบที่เหมือนเดียวดายนี้ จริงๆ แล้วคือชุมชนที่กว้างใหญ่ ชุมชนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญที่เราแต่ละคนได้กลับมามอบให้กับตนเอง และเธอก็กำลังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้ ด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยวมากขึ้น เมื่อเธอไม่พยายามหนีหรือสู้กับความเหงา สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว แต่สิ่งนี้กำลังถักทอสายใยที่เชื่อมโยงเธอกับสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ ข้างใน และผู้คนอีกมากมายที่กำลังทำสิ่งเดียวกันนี้เป็นเพื่อนเธอ . “ลองยินเสียงอย่างแยบยลจากที่ใกล้และไกล พริ้วผ่านเข้ามาไหวน้อยๆ ข้างในตัว ดื่มด่ำดมดอมกลิ่นที่สายลมฝากให้ ขณะที่เธออยู่กับตน ด้วยใจที่เต็มตื่นและตื้นตัน… Continue reading ความไม่มี…มิได้ลดทอนสิ่งที่มี

จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้

  “เธอไม่จำเป็นต้องกลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคง ชีวิตไม่ใช่ความมั่นคงตั้งแต่ต้น แผนการใดของคนจึงจะแน่นอน เมื่อไม่มีความแน่นอนตั้งแต่ไหน” . …หากเธอกลัวความไม่มั่นคง ในแง่หนึ่งก็เท่ากับว่าเธอก็กลัวชีวิต เพราะชีวิตคือความไม่มั่นคงในตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะกังวลว่าชีวิตจะหักเหและไม่แน่นอนไหม เพราะธรรมชาติของชีวิตนั้นก็คือความไม่คงที่ ถ้าโลกและชีวิตเป็นความเที่ยงแท้ คงไม่มีต้นไม้งอกงามแตกใบและผลิผล ไม่มีฤดูกาล ไม่มีฝนตก ไม่มีความงามของดวงอาทิตย์ขึ้นและลง ไม่มีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ไม่มีแม้แต่ชีวิตของเราในตอนนี้ เพราะความไม่เที่ยงแท้ก็คือทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงและดับสลายเป็นธรรมดา การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดชีวิตและการเริ่มต้นใหม่ จิตใจคนเราแสวงหาความมั่นคง เพราะจิตใจนั้นอยากมีตัวตนที่คงอยู่ และอยากควบคุมชีวิตได้ แต่เพราะสิ่งนี้เองมิใช่หรือ ที่เป็นบ่อเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายในชีวิต บ่อเหตุแห่งทุกข์ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากความคาดหวังว่า…สิ่งที่มีความไม่แน่นอนเป็นธรรมชาติจะมั่นคงและคงที่ได้ สิ่งที่มีความทุกข์เป็นธรรมชาติจะมีความสุขอันสมบูรณ์แบบ และสิ่งที่ไม่อาจถือเป็นตนหรือของๆ ตนอย่างธรรมชาติทั้งหลายและชีวิต จะมีความเป็นตัวตนและของๆ ตนได้อย่างแท้จริง เราสร้างแผนการต่างๆ ในชีวิต ซึ่งมิใช่เพียงแผนการที่บอกว่าฉันจะทำอะไร แต่เป็นความคาดหวังที่บ่งบอกว่า ฉันจะต้องเป็นอย่างไร และจะต้องได้รับอะไร เพราะจิตใจต้องการความมั่นคงและความแน่นอน และก็พยายามรักษาแผนการนั้น จนเสมือนดั่งว่าแผนการในหัวคือตัวชีวิต ทั้งที่ชีวิตคือลมหายใจที่เข้าและออกอยู่ในตอนนี้เท่านั้น เราเครียดและเป็นทุกข์เพียงใดกับความพยายามรักษาแผนการหรือความคาดหวังเหล่านั้น กอดรัดจนสร้างกำแพงขึ้นมาในใจและปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไป . “จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้ ? เธอจะชนะความไม่แน่นอนด้วยกำแพงได้ไหม ? เพราะความกลัวจึงคาดหวัง จึงกอดรัดแผนการต่างๆ อย่างหมกมุ่น” . …ด้วยความกลัวความไม่มั่นคงและสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงสร้างแผนการต่างๆ ในหัวขึ้นมาอย่างยุ่งเหยิง… Continue reading จะรักษาชีวิตหรือรักษาแผนการไว้

ไม่จำเป็นต้องมีค่าทุกที่ ทุกสถาน หรือตลอดเวลา

  “การเห็นความทุกข์จากมาตรฐานที่ตนสร้างขึ้น เป็นก้าวแรกๆ ที่สำคัญในการผ่อนปรนเงื่อนไขของชีวิต มิว่าจะเป็นเงื่อนไขการรักตัวเอง หรือเงื่อนไขอื่นๆ ก็ตามที่ผูกมัดตนไว้ “สำหรับผม การจดบันทึกเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะเรื่องเงื่อนไขหรือมาตรฐานรักตัวเอง เป็นนามธรรมซึ่งซ่อนเร้นอย่างแนบเนียนในชีวิต เราต้องย้อนทบทวนรูปธรรมของชีวิต – ความสุขกับความทุกข์ในชีวิตที่ผ่านมาหลายเรื่อง จึงจะเห็นแบบแผนของความทุกข์และคุกที่คุมขังใจ “ความตระหนักในเงื่อนไขการรักตัวเอง คือความเข้าใจว่านี่เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งที่จิตสร้างขึ้นเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือนี้ตลอดก็ได้ “แม้จะมีเหตุการณ์และสิ่งนอกตัวเป็นเหตุปัจจัยทำให้เชื่อว่า ฉันจะมีคุณค่าได้ ฉันต้องเป็นอย่างไร แต่กระนั้นสิ่งที่กำหนดเงื่อนไขจริงๆ ก็คือการตีความของจิตนั่นเอง การเขียนบันทึกย้อนกลับไปในอดีตทำให้ได้ทบทวนการตีความนี้และเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ “ในเมื่อจิตสร้างเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเอง จิตก็สร้างเงื่อนไขใหม่ได้ หรือเลือกทำให้สมดุลมากขึ้น ด้วยการแลเห็นว่า “ฉันไม่จำเป็นต้อง…” เพื่อมีค่าเพียงอย่างเดียว “แต่ฉัน…” บ้างก็เป็นคนมีค่าเช่นกัน “ผมไม่จำเป็นต้องมีค่า เมื่อผู้อื่นเห็นค่าหรือเป็นที่รักอย่างเดียว เพราะแม้หนังสือที่ใครๆ ก็ทิ้งร้างไม่หยิบอ่าน หนังสือเล่มนั้นก็ยังบรรจุเนื้อหาอันมีค่าอยู่ แม้ถูกเกลียด ถูกวิจารณ์ ถูกหมางเมิน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกคุณค่าในตัวเสมอไป “อีกทั้งเรายังไม่จำเป็นต้องมีค่าทุกที่ ทุกสถาน หรือตลอดเวลา เราไม่มีค่ากับบางคน บางสถานการณ์ หรือบางเรื่องก็ได้ มันเป็นธรรมดา หนังสือที่ดีอาจไม่ได้มีค่าในมือทุกคนและทุกเวลา และมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เลย “ความทุกข์ในอดีตทำให้เห็นความเป็นจริงสุดโต่งไปในทางหนึ่งทางใด เมื่อย้อนพิจารณาด้วยใจเป็นกลางแล้ว ความเห็นที่เคยตีกรอบสร้างเงื่อนไขอย่างคับแคบไปก็จะกว้างขวางมากขึ้น เรียกว่าเข้าใจชีวิตตามที่เป็นจริงมากขึ้น จึงรักตัวเองตามที่เป็นจริงโดยลำดับ… Continue reading ไม่จำเป็นต้องมีค่าทุกที่ ทุกสถาน หรือตลอดเวลา

เพราะหนอนผีเสื้อเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองเป็นและทำ

  ก้าวแรกของความสำเร็จ อยู่ที่เราให้เวลากับช่วงเริ่มต้นอันเชื่องช้าได้มากเท่าใด หากเราเร่งร้อนและหวังผลเกินไป แต่ไม่สามารถทำได้ดังหวัง เฉกเช่นเป็นหนอนผีเสื้อแต่อยากวิ่งเร็วเหมือนตั๊กแตน เราย่อมไม่อาจมีความสุขและเห็นคุณค่าของการเริ่มต้นทำสิ่งใดได้เลย หนอนแก้วน้อยให้เวลากับการคืบคลาน เริ่มต้นอย่างเชื่องช้า งุ่นง่าน ดูแสนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ คนอาจดูแคลน ใครบางคนอาจสงสัย แต่ชีวิตอันธรรมดาจะติดปีกได้ก็ต้องอาศัยความอดทนเช่นนี้ เพราะหนอนผีเสื้อเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองเป็นและทำ แม้มันอาจไม่เห็นปีกของตนเองในตอนนั้นอย่างชัดเจน มันก็ไม่เคยหยุดที่จะมีชีวิตและเริ่มต้น ปีกของเราแต่ละคนซ่อนอยู่ข้างใน มันต้องมีพื้นที่และเวลาที่จะกางปีกนั้นออกมา เมื่อถึงจุดหนึ่ง หนอนผีเสื้อต้องหยุดลงและสร้างรังดักแด้ ห่อหุ้มกายและหยุดนิ่ง ดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับว่ามันตายและไม่ทำอะไรเลย แต่นั่นคือช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลง หากเราใช้ชีวิตอย่างวิ่งวุ่นเหมือนตั๊กแตนหรือบินยุ่งเหมือนยุง เราก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและเริ่มต้นสิ่งใหม่ได้ เพราะการเกิดก่อต้องบ่มจากการหลอมรวม ดังนั้น การให้เวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนใคร่ครวญ สงบใจด้วยใจกระจ่าง เป็นขั้นตอนที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเริ่มต้นสิ่งใด ๆ การรู้หยุดบ้างจะทำให้เราสลัดจากคราบและร่องเดิมที่มีอยู่ ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยหรือการยึดติด นิ่งเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน มิใช่วุ่นวายกับสิ่งต่างๆ นอกตัว จนเราสับสนและกลบบังสิ่งสำคัญ และใช้ชีวิตไปตามร่องรอยเดิมอย่างที่เคยยึด เราจะเห็นหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างชัดเจนได้ ต่อเมื่อเรากลับมาหยุดนิ่งอยู่กับตนเองเท่านั้น เปรียบเหมือนการเกิดใหม่จากหนอนแก้วกลายเป็นผีเสื้อ ช่วงเวลาของการเป็นดักแด้นั้นคือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เขาจะต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นเกือบเท่าระยะเวลาชีวิตที่คืบคลาน นานเพียงพอที่ปีกภายในจะก่อเกิดและตัวตนใหม่เข้มแข็งพอ คนเราต้องมีช่วงเวลาอยู่ในดักแด้ คือรู้สงบภายใน ทบทวนก้าวย่างชีวิตที่ล่วงเลย ให้เวลาตนได้ฝึกฝนตัวเอง ก่อนที่จะก้าวไปยังวาระใหม่แห่งชีวิต เมื่อเราหยุดนิ่ง กักตนเองไว้ในดักแด้ของความสงบและการใคร่ครวญ ใช้ชีวิตช้าลง… Continue reading เพราะหนอนผีเสื้อเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองเป็นและทำ

เราต่างผ่านการพลัดพรากมาแล้วมากมาย…

  เราต่างผ่านการพลัดพรากมาแล้วมากมาย… คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต   หากรินเก็บน้ำตาตั้งแต่แรกเกิดจนมาถึงวันนี้จะได้ปริมาณน้ำตามากเพียงใด แล้วถ้าเราเก็บรวมปริมาณน้ำตาทั้งหมดจากชาติภพที่ผ่านมา หรือนับจำนวนครั้งที่เศร้าโศกเสียใจ จะเป็นปริมาณมหาศาลเพียงใด เทียบกับน้ำในมหาสมุทรทั้งหลายแล้วอย่างใดกันแน่ที่น้อยกว่า . “น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา (ในการเวียนว่ายตายเกิด) คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน” . “พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย” . “พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา … ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว … ของบุตร … ของธิดา … ความเสื่อมแห่งญาติ …ความเสื่อมแห่งโภคะ … ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔… Continue reading เราต่างผ่านการพลัดพรากมาแล้วมากมาย…

ไม่ต้องหาเวลาดูแลตัวเอง อยู่ตรงนี้กับตัวเอง เธอก็มีเวลา

  “ไม่ต้องหาเวลาดูแลตัวเอง อยู่ตรงนี้กับตัวเอง เธอก็มีเวลา “ไม่ต้องหาเวลาดูแลใคร อยู่ตรงนี้กับกายใจ เธอก็มีเวลาดูแลทุกคน” . . “อย่าพยายามทำอะไร เพื่อมีโมงยามมากขึ้น ยิ่งอยากมี ยิ่งสูญเสียมันไป นั่งตรงนี้ก่อน หายใจให้มากพอ เธอจะเห็นเวลาที่แท้จริง” . . 📖 ส่วนหนึ่งของคอลัมน์ “บทภาวนา อนัตตา” ตอนที่ 43 โดย ครูโอเล่ สถาบันธรรมวรรณศิลป์ www.dhammaliterary.org/บทภาวนาอนัตตา43/ . … เพียงกลับมามีสติอยู่กับลมหายใจ ทำความรู้สึกตัวที่กายใจในปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็มีเวลาดูแลตัวเองแล้ว ถ้าเราไม่กลับมาอยู่กับตัวเอง เราก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เพียงกลับมามีสติ คุ้มครองตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจตนเอง เราก็กลับมาดูแลตัวเองแล้ว โดยไม่ต้องหาเวลาหรือแบ่งเวลา … ผู้คุ้มครอง “ทวารทั้งหก” นี้ได้ เป็นผู้มีสติอยู่กับกายใจตนอยู่เป็นนิจ ผู้นั้นก็เท่ากับว่าได้คุ้มครองทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ ก็จะเป็นไปในทางกุศลหรือเป็นประโยชน์ทั้งตนและคนอื่น… Continue reading ไม่ต้องหาเวลาดูแลตัวเอง อยู่ตรงนี้กับตัวเอง เธอก็มีเวลา