จบเดือนแรก “เขียนเปลี่ยนชีวิต” รุ่นที่ 57 (เขียนเยียวยา)

 

การอบรมเดือนแรกของหลักสูตร “เขียนเปลี่ยนชีวิต รุ่นที่ 57” (เรียน 24 คืนใน 4 เดือน) ก็ได้ผ่านไปแล้วกับเนื้อหา “เขียนเยียวยา” ปูพื้นฐานการเขียนบำบัดและการเขียนเพื่อสำรวจลึกลงไปในเสียงภายในของจิตใจและร่างกาย ทบทวนความรู้สึก ความต้องการ เงื่อนไขต่างๆ ที่มีอยู่ในจิตใจ และปัญญาที่มีอยู่ภายใน ก่อนส่งต่อไปยังการสำรวจในตัวตนของเนื้อหาเดือนที่สอง

 

🌸 ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผู้เรียนได้รับและบอกเล่า

 

“รู้สึกดีมากๆค่ะ ได้เยียวยาจริงๆสมชื่อค่ะ ได้กลับมาอยู่กับตัวเองจริงๆ ทั้งใจ ทั้งอารมณ์ ทั้งความรู้สึก ทั้งร่างกาย เขียนทุกครั้ง ได้ค้นพบอะไรทุกครั้ง บางเรื่องราวที่ลืมไปแล้วก็ไหลมาหรือนึกขึ้นได้ตอนที่เขียน บางเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุและที่มาของสิ่งที่อยากแก้ไข ก็ได้เจอ และอีกหลายๆอย่างที่การเขียนและกระบวนการของครูทำให้ชัดเจนขึ้นมาก สุดยอดมากๆค่ะ”

“รู้สึกได้พักวางจากเรื่องราวภายนอกกลับมาสัมผัสใจตัวเองมากขึ้น สิ่งที่ได้รับจากเนื้อหานี้คือการตั้งสตินิ่ง ๆ ก่อนจะลงมือทำอะไร ใช้การเขียนเพื่อตระหนักรู้เสียงที่อยู่ภายในตัวเอง ช่วยให้เห็นตัวเองชัดขึ้นว่าอะไรคือปัจจัยที่สร้างความสุข ความทุกข์ในใจ แต่ก็ไม่มีอะไรคงอยู่ไปตลอด การเรียนรู้ที่จะยอมรับโดยไม่ดิ้นรนผลักไส และการรักษาใจที่สุขสงบพร้อมเปิดรับทุกสิ่งที่จะผ่านเข้ามาและผ่านไป”

“รู้สึกชอบมากๆคือการเรียนรู้วันที่ 6 ที่มีคุณครูชื่อความทุกข์ ค่า🌺 พอครูโอเล่พูดคำนี้ความรู้สึกทุกข์หายไปเลยค่า มีการมองเห็นความทุกข์คือปัญหาของเรายังไม่ผ่านการแก้ไข คือตัวเราเองต้องมองหาสาเหตุความทุกข์นั้น เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง ไม่ตัดสิน ไม่เปรียบเทียบ ไม่ยึดติด อยู่กับปัจจุบันความทุกข์ก็ลดลง จนหายไปได้”

“รู้สึกเข้าถึงจิตใจของตนเองได้ลึกซึ้งขึ้น โดยใช้คำถามที่วิทยากรกำหนด ทบทวนความรู้สึกในในจริง ๆ ของจิตใจที่มีต่อตนเอง อารมณ์ ความรู้สึก และที่สำคัญคือ ต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
สิ่งที่ได้รับคือความเข้าใจในความปกติของอารมณ์ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ให้เราเรียนรู้ และเข้าใจด้วยความเมตตาต่อตนเอง ต่อร่างกายของตนเอง ”

“รู้สึกได้เปิดแผลที่บาดเจ็บ ได้บ่งหนามในใจ ได้เยียวยาความทุกข์ในใจ มันไม่ได้หายไปไหนมันยังอยู่เพียงแต่เราทำเป็นมองไม่เห็นมัน ได้ดูแลจิตใจคือยอมรับ เข้าใจ ขอโทษ และปล่อยวาง เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป เข้มแข็งและกล้าเผชิญ”

“กลับมารักตัวเองภูมิใจในตัวเองและในวันนั้น บางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจค่อยๆปลดปล่อยออกมากเหมือนเข้าใจมากขึ้นยอมรับและเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น”

“รู้สึกดีมากๆค่ะกับการเรียนนี้ ได้ดูแลใจตัวเอง เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้กลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง พอเขียนออกมา ยิ่งพบความต้องการลึกๆ และพบคำตอบของชีวต พบปมที่ผุดมาให้รับรู้ เมื่อตระหนักก็เหมือนได้แก้ไขทันที”

“การเรียนในเนื้อหานี้ช่วยทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น พร้อมกับทบทวนทุกสิ่งที่เราเคยทำมันไปทั้งเรื่องที่เป็นเชิงบวกและเชิงลบ ควบคู่ไปกับวิธีคิดแนวทางการแก้ไขและรับมือกับผลกระทบที่ได้รับ พร้อมทั้งการเยียวยาจิตใจให้กล้าเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น การเรียนในคลาสนี้ทำให้เรามองเห็นคุณค่าในตนเองและอยากจะพัฒนาแนวคิดในการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ”

“มันน่าทึ่งมากที่เราสามารถเขียนอะไรได้มากมายจากภาพที่เราเห็น และยิ่งเขียนเยอะมากขึ้น เราจะถ่ายทอดความรู้สึก จากประสบการณ์หรือเรื่องราวที่เราเจอมาได้ละเอียดขึ้น และเราให้ข้อคิดกับตัวเราเองได้ด้วย ยิ่งวันนี้ได้กลับมาอ่านทวน เพื่อเลือกว่าเราชอบแบบฝึกหัดไหนมากที่สุด ยิ่งรู้สึกว่า ได้ปลดปล่อยความเครียด ได้ใช้จินตนาการ ได้มีคำตอบให้กับเรื่องบางเรื่องที่เราติดอยู่ในใจ ได้เริ่มปลดล็อกจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้เราไม่สบายใจ”

“รู้สึกได้ทดลองทำสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยทำมาก่อน เช่น การเขียนด้วยมือที่ไม่ถนัด การแลกเปลี่ยนเล่าความรู้สึกนึกคิดกับคนแปลกหน้าในเวลาสั้น ๆ รู้สึกได้รับพลังงานดี ๆ ได้เรียนรู้วิธีการดูแลใจตัวเองผ่านการเขียน ได้คุยกับร่างกายตัวเอง ได้รับข้อคิดดี ๆ จากผู้เข้าร่วมอบรม คุณครู และตัวเอง ได้ปลดปล่อยความตึงเครียดในวันนั้น ๆ แม้ว่าวันรุ่งขึ้นก็อาจจะเจอสิ่งที่เครียดอีกก็ตาม จากเนื้อหาที่เรียนรู้ในทุก ๆ วัน ทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญคือใจ จากที่เคยแต่บ่นๆ กับตัวเอง ก็ได้คุยกับร่างกาย คุยกับจิตใจตัวเองอย่างจริงจังแต่ผ่อนคลาย
สิ่งที่ได้รับจากเนื้อหาเขียนเยียวยา
1. ร่างกายพูดจริงกับเราเสมอ
2. ดูแลตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน
3. ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าอยากทำอะไร เด็กน้อยในหัวใจรอให้เราพาเขาออกมาวิ่งเล่น
4. ทั้งความทุกข์ความสุข เป็นสิ่งที่เรานึกถึงโดยมีรอยยิ้มไปด้วยได้ จริงๆนะ
5. เรารู้สึกไม่ยินดียินร้ายได้นะ อย่าโลภกับความรู้สึก”

“รู้สึกใจฟูได้รับความรู้และการตกผลึกทางความคิดจากเนื้อหาการดูแลจิตใจและร่างกายจากการเขียนเยียวยา บางครั้งเราสกัดกั้นอารมณีและความรู้สึก ไม่ยอมรับ เลยส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อเราได้รับการเขียน โดยผ่านวิธีการเขียนแบบอิสระ ทำให้เราได้ปลดปล่อยสิ่งที่เก็บไว้ออกมา เขียนโดยบางครั้งอาจผ่านแว่บเข้ามา แล้วก็ผ่านออกไปบางครั้งในการเขียนแบบอิสระนี้ก็สอนให้เราต้องรู้จักปล่อยบางอย่างออกไป เพื่อให้ใจได้เบาขึ้น”

“การเข้าเรียนในแต่ละวันทำให้ได้กลับมาอยู่กับตัวเองมีสติมากขึ้นเพราะที่ผ่านมาเหมือนเราหลงทางปล่อยปละละเลยตัวเองแต่การฝึกนี้เราได้กลับมารักเมตตาตัวเอง”

“ชอบแบบฝึกหัดคืนที่ 6 คืนสุดท้ายของการเขียนเยียวยา ที่ได้พูดคุยความสุข ความทุกข์ กับ ร่างกายของเรา ผ่านดวงตา ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ครูให้เป็นตัวแทนของร่างกาย และสิ่งที่ร่างกาย (ดวงตาอยากบอกแก่เรา) มากที่สุดค่ะ กิจกรรมนี้ถือว่าเป็นการฝึกปฏิบัติธรรม “กายคตสติ” ในรูปแบบที่ทันสมัย น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการสังเกตร่างกายและจิตใจของตัวเองและทุกคนสามารถค้นพบได้เอง สุดยอดมาก ๆ เลยค่ะ”

“รู้สึกปลดปล่อย ปลดล๊อคตัวเองจากความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ตั้งแต่อดีตที่เก็บฝังมาอย่างไม่รู้ตัว และที่กังวลกับอนาคต จนไม่อยู่กับปัจจุบัน พอได้เขียวเยียวยาในรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ขณะเขียน ขณะวาด ก็ได้กลับมามีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน ได้พูด ได้คุยกับเพื่อนๆ ในห้อง เพื่อนๆ ก็รับฟังอย่างดี และยังได้วิธีการจัดการความทุกข์ หรือ มุมมองความคิดของเพื่อนๆ ในแง่มุมต่างๆ ที่เรานึกไม่ถึง เราสามารถนำไอเดียดีๆ เหล่านั้นมาใช้ได้”

“การได้เขียนเรื่องราวเพื่อเชื่อมโยงร่างกายกับจิตใจ การเขียนเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกจากภายในส่วนลึกของจิตใจออกมา ทำให้ร่างกายเบาสบาย สมองโปร่งโล่ง เปรียบเหมือนชำระกายแล้วชะล้างจิต เอาสิ่งเก่าๆ ทั้งภายนอกและภายในออกมา ตลอดจนได้เห็นกายกับจิตเชื่อมสัมพันธ์กัน กายแสดงออกตามความเป็นจริง ไม่โกหกหลอกลวงหรือปกปิดเจ้าของ ไม่เหมือนจิตที่พยายามปกปิดซ่อนเร้นอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ปิดไม่มิด จนเมื่อถึงเวลาก็แสดงออกทางกายเอง”

“ได้ดูแลใจตัวเองด้วยการกลับมาฟังเสียงของเขามากขึ้นว่าเขารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร ได้ฝึกการเชื่อมต่อกับตัวเองและปลดปล่อยอารมณ์ต่าง ๆ ที่เป็นทุกข์ออกไปจากร่างกายทำให้รู้สึกเบาสบายขึ้นค่ะ”

“รู้สึกว่าได้พบวิธีใหม่ๆในการเข้าใจความรู้สึก เปิดให้การสื่อสารกับตัวเองได้เกิดขึ้น ทีละขั้นตอนอย่างลึกซึ้ง พบว่าบางที่ก็เป็นมวลพลังงาน ไม่มีนิยามไม่ได้มีถ้อยคำ แต่สามารถสื่อสารผ่านทางปลายปากกาได้ค่ะ”

“ในทุก ๆ ครั้งที่ได้ลงมือและตั้งใจเขียน ความรู้สึกที่อยู่ข้างในได้ทยอยเลื่อนไหลออกมาทีละชั้น ๆ ในบางช่วงถึงกับสะเทือนอารมณ์จนทำให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว”

“ได้เรียนรู้ การจัดการความคิด และความรู้สึกของตัวเองที่เหมือนปมเชือกยุ่ง ๆ ที่รอการคลี่คลายปมแบบค่อยเป็นค่อยไป ก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีก่อนได้เขียนบันทึกเป็นประจำเกือบทุกวัน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หรือแม้กระทั่ง ข้อคิดที่คิดได้ ณ บางขณะ พอกลับไปอ่านรู้สึกว่า ความรู้สึกนึกคิดและการมองโลกของคนเราในแต่ละช่วงวัย มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ เรื่อง พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้ห่างหายจากการเขียน ความทุกข์รุมเร้า หาทางออกไม่ได้ เครื่องมือเดิม ๆ ที่เคยใช้เริ่มกลับมา การมาเรียนเขียนเยียวยา เหมือนได้เรียนรู้เรื่องเดิมที่เคยรู้อย่างเป็นระบบ มีมุมมอง ความรู้ และเทคนิคใหม่ ๆ”

“รู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้นได้กลับไปค้นหา อดีตของตัวเองกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา เหมือนได้เข้าไปนั่งดูหนังในโรงภาพยนต์ที่ตัวเองเล่นเอง ได้ดูแลใจตัวเองจากการสื่อสารกับตัวเองและอยากบอกอะไรมากที่สุดกับตัวเองในการสัมผัสกับใจ และได้ฟังเสียงนางฟ้าในตัวเราและในการเรียนเนื้อหาทุกๆบทเรียนทั้ง 6 วันแน่นอนว่าได้บทเรียนอันมีคุณค่าทุกๆครั้ง ได้วิธีสื่อสารกับตัวเองหลายๆแบบ ทั้งการสัมผัสใจ การวาดระบาย การเขียนโดยไม่หยุดปากกา และที่สำคัญที่สุดคือการเขียนด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด เป็นอะไรที่ประทับใจเปิดโลกมากค่ะ”

“เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงจากภายใจของตัวเองจริงๆ สัมผัสถึงความสงบ ความสว่าง ความอบอุ่นในตัวตนภายใน ได้เข้าถึงปัญญาญานที่มีในตนเอง ขอขอบพระคุณครูโอเล่ผู้ชี้แนะการใช้เครื่องมือและผู้นำสู่การเดินทางเข้าสู่ด้านในตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าและจะหมั่นฝึกฝนใช้เครื่องมือรูปแบบต่างๆที่ได้เรัยนรู้จากคอร์สในการดูแลจิตใจของตัวเองต่อไปค่ะ”

“สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอจากการอบรมกับครูโอเล่คือการที่จิตใจปลอดโปร่งมากขึ้น หลับสบายขึ้น ยิ่งต่อเนื่องหลายสัปดาห์ตอนนี้เรานอนตอนเที่ยงคืนตื่นก่อนเที่ยงวันมาได้เป็นสัปดาห์แล้วค่ะ ถ้ารู้จักเราจะรู้ว่าปาฏิหารย์ชัดๆ”

“ชอบแบบฝึกหัดทุกบท ไม่สามารถแยกได้ว่าชอบแบบไหนมากที่สุด เพราะ แบบฝึกหัดแต่ละบทเอื้อซึ่งกันและกัน หมายความว่า แบบฝึกหัดแต่ละบทจะต่อยอดของบทต่อไปคะ ชอบการเรียนในเนื้อหานี้ การเรียนนี้ ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักรักตัวเองมากขึ้น รู้จักฟังเสียงใจตัวเองมากขึ้น รู้จักให้อภัยตัวเองมากขึ้น เมื่อเราได้ลงมือเขียน ทำให้เรารับรู้ถึงการให้ ให้ใจกับตัวเองในการลงมือทำ เมื่อเราได้ลงมือเขียน ทำให้เราได้เติมเต็มความรู้สึก ซึ่งบางครั้ง ณ ขณะนั้นเราเสียใจมาก หรือ น้อยใจ หรือไม่เข้าใจ หรือโกรธ หรือเกลียด หรือดีใจ อยู่ก้อตาม เมื่อเราได้ลงมือเขียน ทำให้เรารับฟังเสียงในใจเราชัดเจนมากขึ้น”

“การเขียนคือการรับฟัง หัวใจเรา การเขียนคือพื้นที่อิสระของชีวิตเรา การเขียนคือกระจกส่องตัวเรา และการเขียนคือการเต้นรำกับตัวอักษร ขอเพียง เราหายใจเข้าออก ลึกๆ 3 ครั้ง
จิตใจเราจะเริ่มผ่อนคลาย จากนั้น ลงมือทำนำหน้า >> อารมณ์จะตามมา >> หนทางเดินจะเกิดขึ้นเอง”

“รู้สึกดีมากที่ได้เรียนเนื้อหานี้ เพราะช่วยเตือนสติให้ฟังเสียงภายในใจเรา เป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเอง รักและมีเมตตากับตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง”

“ได้เรียนรู้ว่าร่างกายเกี่ยวข้องกับจิตใจค่ะ หลังจากที่ฟังครูให้ความรู้แล้วทำให้เข้าใจว่าเราห่างเหินกับร่างกายแค่ไหน ความทรงจำของร่างกาย, แผลในใจมีผลอย่างไร ”

“รู้สึกได้ปลดปล่อยความเศร้า อารมณ์ลบที่ติดค้างในใจลงในกระดาษ โดยไม่เซนเซอร์ตัวเอง ได้ทำความเข้าใจและยอมรับตัวเองมากขึ้น และเริ่มกล้าที่จะเขียนไปเรื่อยๆแบบไม่ต้องกังวล ไม่ต้องพยายามอยู่ในกรอบ”

“ขอบคุณครูและตัวเองที่เข้าเรียนสม่ำเสมอ ตั้งใจทำงานกับตัวเอง หลังจากเข้าเรียน 6 ครั้ง พบว่ามีเครื่องมือในการเยียวยาตัวเองในวันยากๆ เมื่อได้เขียนแล้วพบตัวเองอีกคนนึงที่มั่นคงมากขึ้น สงบ เบาสบาย”

“ทำให้เรารู้ว่า ที่ผ่านมา เราได้แต่สนใจแค่ความรู้สึกภายในใจของตัวเอง แต่เราไม่ค่อยได้คุยกับร่างกายเท่าไหร่นัก เรามักใช้ร่างกายทำโน่นนี่ตามแต่ใจเราปรารถนา โดยไม่ได้สนใจเลยว่าร่างกายเรารู้สึกอย่างไร แบบฝึกหัดนี้ทำให้เราได้มาจดจ่อกับความรู้สึกแต่ละส่วนของร่างกายเหมือนได้ฝึกสติไปด้วย ได้เรียนรู้ว่า ปฏิกิริยาที่ร่างกายแสดงออกมา หรือการเจ็บป่วยตามส่วนต่างๆของร่างกายนั้น เพราะเขาต้องการสื่อสารกับเราว่า เราควรกลับมาดูแลร่างกายและควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง หยุดพักจากการใช้ร่างกายกับเรื่องที่ถาโถมเข้ามา ร่างกายคุยกับเราผ่านตัวหนังสือว่าฉันกำลังช่วยเธอในการเยียวยาให้กลับมาสู่สภาวะสมดุล ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจบแบบฝึกหัดนี้คือ เราอยากจะขอโทษตัวเองที่เราใช้ร่างกายโดยไม่ใส่ใจ และขอบคุณที่ร่างกายคอยส่งสัญญาณเตือนเราเสมอ และรู้สึกว่าเรารักตัวเองมากขึ้น”

“ทำให้เราได้สื่อสารกับจิตใต้สำนึกผ่านทางตัวหนังสือ บางข้อความที่เขียนออกมาเป็นข้อความที่เราไม่ทันนึกถึงด้วยซ้ำ แต่ข้อความนั้นมาช่วยเตือนสติเราและให้แนวทางเราในการเยียวยาจิตใจตัวเองได้ดีมาก สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือ เราไม่จำเป็นต้องกดข่มความรู้สึกตัวเอง ไม่จำเป็นต้องวิ่งหนีความทุกข์ เราควรซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ใช้การเขียน เพื่อปลดปล่อยอารมณ์และระบายความรู้สึกออกมาได้ทั้งหมด แล้วเราก็แค่กลับมาทบทวน เหมือนถอยออกมาแล้วมองกลับเข้าไปในใจเรา เป็นการรับรู้ความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านตัวหนังสือเหล่านั้น จากนั้นก็ปล่อยให้จิตใต้สำนึกทำงานอย่างเป็นอิสระในการสื่อสารกับเรา แล้วเราจะได้มุมมองใหม่ที่จะเข้ามาช่วยดูแลใจเราให้มีความสุขกับปัจจุบันมากขึ้น”

“ชอบแบบฝึกสนทนากับความทุกข์ รู้สึกว่าโดนใจที่ได้คุยกับดวงตาและหัวใจ ทำให้ความคิดถึงความทุกข์ที่เราได้ลืมไปแล้ว แต่มันยังมีผลข้างในจิตใจเราอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว ช่วงนี้กำลังไล่เคลียร์ปมในใจ เพื่อ การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ การที่ได้เปิดดูความทุกข์ที่อยู่ในใจ ในตอนที่เราพร้อมที่จะจัดการกับมัน คือการเป็นผู้ดู ไม่ตัดสิน อยู่กับมัน และปล่อยมันไป ทำให้เราสามารถจัดการกับความทุกข์ และเคลียร์มันไปได้ดีกว่าเมื่อก่อน และกลับมา balance ใจให้คืนสู่สภาวะสมดุลย์ได้เร็วขึ้น ขอบคุณครูที่สอนการคุยกับร่างกายแต่ละส่วน เพราะเรามัวแต่ดูจากแค่สองจุดคือสมองกับหัวใจ การที่ได้ขยายการสังเกตไปที่อื่นๆ เช่น ดวงตา หรือหน้าท้อง ทำให้เรารับฟังความทุกข์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในร่างกายมากขึ้น ทำให้เราสามารถนำความทุกข์ที่ถูกเก็บลืมขึ้นมาเยียวยาได้”

“แม้เคยลงเรียนในหลักสูตรนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่เรียนทุกครั้งไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง ขณะเรียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหม่ของเราตลอดเวลา อาจเนื่องจากแต่ละช่วงเวลาเรามีโจทย์ไม่เหมือนกัน เขียนใหม่ของเราก็เหมือนเรื่องใหม่ ความรู้สึกใหม่ทุกครั้ง ครั้งนี้ได้ดูแลใจครั้งสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องราวของความทุกข์ภายในจิตใจ ที่เราคิดว่ามันหนักหนาตลอดมา ไม่เคยก้าวออกจากวังวนนั้นได้ คราวนี้ก็ได้ก้าวออกมาอีกครั้ง (หมายความว่าตอนเรียนรอบอื่นๆ ก็ได้คลายทุกข์เรื่องอื่นๆลงไปมาก) ได้ปลอบโยนตัวเองด้วย การเขียนมือข้างที่ไม่ถนัด กล้าบอกตัวเองว่าให้หยุดร้องไห้ เห็นปัญหาของตัวเองที่เฝ้าแต่คิดว่า ความหนักอึ้งของสองบ่ามาจากภาระที่ต้องแบกจากคนอื่นๆ แต่ที่จริงก็เป็นตัวเราเองที่เป็นสาเหตุ พอเห็นเหตุ ความทุกข์ก็จางลงมาก ยังคงปวดไหล่ บ่า เช่นเดิม แต่ยอมรับได้ว่า “ มันเกิดจากเรา” เป็นอิสระที่จะเลือกตามธรรมชาติมากกว่าเหตุ-ผลที่คิดเอง หรือมองเห็นความอยากของตนชัดขึ้น ประโยคสำคัญที่ได้ครั้งนี้คือ “ ถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร หรือเพียงอยากเพื่อสนองความต้องการ” เลยหยุดบางพฤติกรรมของตัวเองได้ พอเกิดความอยากก็ถามว่าจริงๆต้องการอะไร พอเจอก็เลือกสนองความต้องการมากกว่าความอยาก ทำให้แบบแผนพฤติกรรมเดิมๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกข์ก็ลดลงไปตามด้วย ครั้งนี้ขอบคุณครูที่ให้หลักการ “ ลงมือทำนำหน้า อารมณ์ตามมา ปัญญาเกิดขึ้นเอง” เป็นคาถาที่ดีมากๆสำหรับตัวเองค่ะครู”

“ในการเรียนเนื้อหานี้ ได้ดูแลใจและร่างกายตัวเองมากขึ้น ใส่ใจและดูแลอย่างดี ในแบบที่ควร ตามสัญญาณที่ร่างกายสื่อสารให้ได้รับรู้ ขอบคุณร่างกายทุกส่วนในทุกๆวัน ได้รับรู้ว่าร่างกายก็สามารถสื่อสารกับเราได้ตลอดเวลา ขอเพียงเรามีเวลาอยู่กับตัวเอง จากเนื้อหา เขียนเยียวยา”

“ทำให้ฉันกล้าที่จะเกลียดแสดงความรู้สึกออกมาโดยไม่ต้อง ระมัดระวังเรื่องความทุกข์ต้องปล่อยให้มันไหลออกมาเอง มีภาพเหตุการณ์เก่าๆ ได้เกิดขึ้นมา ช่วยปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง ไม่ตำหนิ และกล่าวโทษตัวเอง ขณะเดียวกันขอบคุณและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มากขึ้น ยังมีความแปลกอีกอย่าง ที่เวลาเขียนด้วยมือที่ไม่ถนัด ประโยคและคำที่เขียนออกมา มีแต่ความชื่นชมและความภาคภูมิใจในตัวฉัน ฉันยังชอบคำถามของครูที่ใส่ให้ในกระบวนการ เต็มไปด้วยความใส่ใจ และได้นำกลับ มาถาม ตัวเองอยู่บ่อยๆ แม้บางครั้งการฟังเสียงจากหัวใจเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ค่อยๆพาตัวเองทำตามกระบวนการที่ครูบอกมันก็สามารถที่จะเขียนอะไรออกมาได้ เยอะทีเดียว จะพบว่าลึกๆภายใน ใจฉันมีความเหงา และโดดเดี่ยว หลังจากได้ทำกระบวนการเขียนเยียวยา รู้สึก มีความสุขชื่น มีพลังมากขึ้น เราอยู่เคียงข้างตัวเราเองและเข้าใจตัวเราเองให้มากที่สุด”

“วันนั้นเขียนเรื่องความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด แล้วพอได้เปิดไพ่เหมือนได้เรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนของใจ คอยอยู่เคียงข้างตัวเราเอง มันเป็นสิ่งที่เราจะนำไปใช้ได้ตลอดเวลาเลย รู้สึกสงบ ได้สำรวจความทุกข์ ความสุข แม้ตอนนี้จะผ่านช่วงเวลาที่ไม่ดีในชีวิตมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังได้รับมุมมอง แง่คิดและเทคนิคใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์มาก ทั้งการสัมผัสใจ การบอกอะไรบางอย่างกับตัวเอง การคุยกับร่างกาย หัวข้อเรื่องปมในคืนสุดท้าย ดีมากเลยล่ะค่ะ”

“เหมือนได้มองเห็นภาพรวมของเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตจากมุมมองที่แตกต่างออกไป และ เหมือนเป็นการได้ปลดปล่อยอารมณ์ ได้ระบายความรู้สึก ระบายความคิดผ่านการเขียนออกมา เขียนไปเรื่อยๆแบบไม่หยุด ช่วยลดภาระทางอารมณ์ลงได้ มันเหมือนเป็นการช่วยลดความรุนแรงของความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่เกิดจากเหตุการณ์สะเทือนใจ”

“🌷ได้กลับมามองย้อนว่า เราเป็นเป็นเพื่อนที่ดีให้ตัวเองเพียงใด ก่อนหน้านี้เราไม่เคยสำรวจการกระทำของตัวเราเองต่อตัวเอง เราตั้งหน้าตั้งตา เป็นลูกที่ดี เป็นพี่ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี ต่อคนรอบข้าง แต่เราลืมคิดว่าเรานั้นเป็นอย่างไรกับตัวเราเอง เราติเตียน ตำหนี หรือ เมินเฉินกับความรู้สึกและสุขภาพของตัวเราเองมาเท่าไหร่

ส่วนแบบฝึกหัดที่ให้นึกถึงช่วงเวลาความสุข เราก็นึงถึงความสุขและเป็นความทุกข์ เนื่องจากคิดถึงตอนได้อยู่กับแม่ แต่แม่เสียชีวิตแล้ว วันนั้นร้องไห้แบบสุดๆ ร้องต่ออีก2ชม.หลังเรียนเสร็จ ร้องเสร็จโล่งมาก และสบายใจมากๆ เหมือนความทุกข์บางอย่างที่เราเคยกดมันไว้ มันปะทุออกมา เรายอมรับมัน โล่ง สบาย ”

“นานมากที่ไม่ได้จับหัวใจ ทำสมาธิ ถามใจตัวเอง เขียนจากความรุ้สึกภายใจ โดยวิธี Free Writing มือทาบ อก ถามหัวใจ ด้วยความอ่อนโยน เขียนตามความรู้สึก ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง ที่ไม่เคยได้ใส่ใจ รับฟัง .. แล้วเมื่อครั้งที่สาม กิจกรรมสุดท้าย คือ การทำมือสัญญลักษณ์ ผมเลือกการทำมือรูป หัวใจดวงเล็ก Mini heart (finger heart) เพื่อมอบความปรารถนาดีให้กับผู้อื่น … สัมผัสหัวใจ เขียนจากความรู้สึก ด้วยคำถาม เขียนให้ลึก ให้สุด แม้ถ้อยคำจะวนซ้ำ ๆ ในบางครั้ง แต่เมื่อกลับมาอ่าน ผมได้รับรู้สิ่งที่ฝังอยู่ในใจ และหลักการเขียน 4 แบบ ” เล่าเรื่อง ใคร่ครวญ จูงใจ สร้างสรรค์ ” เป็นกุญแจการเขียน “จากตัวตนภายใน” ที่ดีมาก ๆ ผมได้เป็นเพื่อนกับตัวเอง ฟังตัวเอง รุ้จักตัวเอง จากการถาม และการเขียน ครับ”

“รู้สึกได้กลับมาล้างสิ่งต่างๆที่อยู่ในใจอีกครั้ง ได้กลับมาปลอบตัวเอง อ่อนโยนกับใจตัวเองมากขึ้น ได้คิดถึงความสุขในอดีต เข้าใจธรรมชาติของตัวเองได้ดีกว่าเดิม บางเนื้อหาเหมือนได้ทบทวนอดีตอีกครั้ง แล้วปล่อยวางความเสียใจเศร้าใจไว้ตรงนั้น กับเรื่องที่เคยทำให้เศร้า ทุกข์ เสียใจ ก็เบาลง ทำให้สุขได้มากขึ้น ได้กลับมาฟังเพลงที่เคยฟังอีกครั้ง ได้สร้างความรู้สึกที่ดีที่มีต่อตัวเองมากขึ้น”

“รู้สึกได้คลายสิ่งที่คิดวนวนในหัวออกมาโดยการเขียน ทำให้เข้าใจสิ่งที่ตนเองคิด กังวล และเป็นทุกข์ได้ชัดเจนขี้น ได้กลับมาระลีกถึงความสุข ความทุกข์ ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจความยึดติดของตนเองที่ไม่ปล่อยวาง ไม่อยู่กับปัจจุบัน และกังวลอนาคต พอได้เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ทำให้เข้าใจ และเกิดการยอมรับ และปล่อยวางได้บ้าง ในการได้เขียนทุกวันที่เรียน ทำให้ได้คลายสิ่งที่ทุกข์ในใจออกมาเขียนเคล้าน้ำตาทุกวันที่เรียน ทำให้จิตใจเบาขึ้น ผ่อนคลายขึ้น และการตอบคำถามกิจกรรม ทำให้ค่อยค่อยออกจากความคิดวนวน ได้ทักษะการเขียนในการกลับมารู้จักตนเอง และเยียวยาจิตใจตนเอง ตามหัวข้อที่เรียนจริงจริง “เขียนเยียวยา””

“รู้สึกเชื่อมโยงกับตัวตนภายในมากขึ้นค่ะ มีถ้อยคำดีดีจากภายในที่พรั่งพรูมาตอนที่ใจสงบ ทำให้ได้ฉุกคิดในหลายๆเรื่องราวที่เคยมองข้ามไป รวมถึงได้โอบกอดความรู้สึกตัวเองด้วยความเข้าใจมากขึ้นด้วยค่ะ ในแต่ละเนื้อหา ทำให้สามารถนำส่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เวลามีความทุกข์ ความไม่สบายใจ ทำให้สามารถคุยระบายสิ่งที่รู้สึกออกมาได้ชัดเจน และเฝ้าสังเกตอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้นค่ะ”

“รู้สึกดีใจที่ได้เข้าใจตัวเองและรู้ว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยได้คุยสื่อสารกับตัวเอง ได้รับความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นเช่นการเขียน 50%คือการฟัง ฟังสิ่งที่อยู่ภายใน ความคิดและจิตใจ ฝึกการฟังสิ่งต่างๆรอบตัว ได้ใช้การBody scan ฟังเสียงร่างกายมากขึ้น เพิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มมองร่างกายเป็นคนแปลกหน้า ไมค่อยได้สื่อสารกับร่างกาย หลังจากฟังร่างกายตัวเองมากขึ้น ทำให้อาการปวดเมื่อยเบาลง นอนหลับได้ดีขึ้น บางวันหลับได้เองไม่ต้องเปิดเสียงต่างๆช่วย รับรู้ว่าตัวเองเป็นคนติดคิด บางครั้งตื่นหลายรอบแล้วมีความคิดเข้ามาตลอด ตอนนี้แค่รับรู้แล้วมาอยู่กับร่างกาย ตอนที่คุยกับดวงตา คุยกับความทุกข์เหมือนได้เก็บกวาดห้องครั้งใหญ่ รู้ลึกโล่งขึ้น รู้ว่าชีวิตค่อนข้างวนลูปเพราะตัวเราเองลึกๆกลัว ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง มีการเอาตัวรอดที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการให้บางเรื่องมาเป็นข้ออ้างมีความหงุดหงิดเมื่อรู้ตัวค่ะ เมื่อรู้ตัวแล้วก็อภัยตัวเอง ขอโทษและขอบคุณตัวเองได้ค่ะ บอกตัวเองว่าไปกันต่อนะ ”

“ทำให้เรากลับมาสังเกตใจตัวเองว่าสิ่งที่เราทุกข์มันมีผลกระทบกับตัวเราอย่างไร จะเผชิญหน้าหรือพยายามหลีกหนีมัน หรือพยายามอยู่ร่วมกับมันไปให้ได้ โดยไม่เจ็บปวดมากนัก พอได้มาทบทวนจริงจัง เขียนเยียวยาตัวเอง พยายามคุยกับร่างกายตัวเอง ทำให้พบว่า เราพยายามปกปิด แล้วหลีกหนีทำให้ไม่กล้าเผชิญหน้า จึงทำให้เรากลับมาปรับเปลี่ยนความคิด พยายามสู้กับมัน โดยไม่พยายามสร้างเงื่อนไขให้กับชีวิตมากกินไป แต่พยายามใช้สติมาเป็นตัวกำกับในการใช้ชีวิต ไม่หมกมุ่นกับความคิดมากเกินไป มีความสุขกับทุกปัจจุบันขณะ”

“รู้สึกดีมากคะ ได้หันกลับมองเห็นร่างกาย มองเห็นความสุขที่ผ่านมา มองเห็นว่าทุกผลลัพธ์ที่เราอยากให้ชีวิตเดินไป เราก็แค่เปลี่ยนวิธีมอง ในหลาย ๆ ครั้งที่เจอกับเรื่องไม่ถูกใจ เราก็อาจเจอกับเรื่องที่ถูกใจเรื่องอื่นก็ได้ อยู่ที่ตัวเราว่าจะมองในมุมไหน ได้กลับมาเห็นความสำคัญกับการดูแลร่างกาย และจิตใจมากขึ้นมาก ๆ”

“ได้รับฟังเสียงข้างใน ที่ต้องการการดูแลและการยอมรับ ได้เข้าใจสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไป และการได้เห็นข้อด้อย จุดบกพร่องของตัวเองในเรื่องต่าง ๆ แจ่มชัด สร้างความเข้าใจ และเรียนรู้แง่มุมใหม่ ๆ ในตัวเองอย่างกระจ่างใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้สนทนารับฟังร่างกายที่เจ็บป่วย ทั้งจากสังขารไม่เที่ยง และความนึกคิด ที่เชื่อมร่างกายและจิตใจเข้าด้วยกัน ทำให้ต้องกลับมาระวังและดูแลแบบองค์รวมอย่างแท้จริง”

“ได้เข้าไปสัมผัสกับโลกภายในของตัวเองมากยิ่งขึ้น ได้เข้าไปดูใจตนเองไห้ลึกขึ้น ทำให้พบมิติของใจที่หลากหลายในตนเองและรู้ทันโลกภายใน รู้วิธีการดูแลใจของตนเองที่เหมาะสมและมีสมาธิกับการเขียนมากขึ้น ได้รับการโอบกอดจากตัวเองและได้รับความรู้ใหม่ในการเชื่อมโยงใจสู่การเขียน”

“ทำให้เราสามารถกลับมาเปิดปัญหาที่คาราคาซังมาเป็นปี ที่ผ่านมาเราจะไม่เผชิญและดูแลใจของเรา ใช้วิธีกลบเกลื่อน แตะผิวๆ รักษาสัมพันธภาพเท่าที่ทำได้ ได้ดูแลใจตนเองคือ ต้องปล่อยวาง let go ยอมรับสภาพและนำมาเป็นบทเรียนในการฝึกภาวนาในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ รู้สึกถึงปัญหา รู้ตัวและรู้ทันกับอารมณ์และความคิดปรุงแต่งในใจของเราเอง ไม่ปรุงแต่งต่อ ทำใจให้เป็นอุเบกขากับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันจะอ่อนโยนกับหัวใจของฉันเอง ฉันจะไม่เป็นทุกข์กับสิ่งใดๆอีกแล้ว ฉันมีสิทธิ์และอิสรภาพเต็มที่ที่จะเป็นสุข สงบ เบิกบาน ในชีวิตที่เหลือ ใครทำให้ฉันก็ไม่ได้ ฉันต้องทำเอง ฝึกเอง ทำตนให้เบิกบาน เป็นสุข ปล่อยวางความหนัก ปล่อยวางความทุกข์ ปล่อยวางความคาดหวัง ทุกอย่างผ่านมาแล้วจะผ่านไปเหมือนสายลม let go let go”

“ได้เข้าไปแตะ “ความเสียใจ” “ความผิดหวัง” และ “ความเจ็บปวด” ของตัวเองอีกครั้ง ในครั้งนี้ฉันก็ได้มองเห็นทั้งสิ่งที่เคยเป็นความทุกข์ ก่อให้เกิดความเสียใจ ความผิดหวัง และ ความเจ็บปวด ให้กับฉันอย่างหนักหน่วง มองเห็นความรู้สึกในด้านลบ ซึ่งเป็นเพียงอดีต แต่อีกด้านนึงของความรู้สึก ความทุกข์ เกิดจากความรักความเป็นห่วง ฉันยังคงมีน้ำตาเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ฉันยอมรับความรุ้สึกเหล่านี้ได้ทั้งในด้านลบและด้านดี ฉันรักตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ว่าจะมีความคิดแบบใด ฉันรู้ว่าฉันเข็มแข็งและสว่างไสวได้เสมอ”

“ค้นพบว่าการเขียนก็คือการคุยกับตัวเอง เป็นวิธีการค้นพบความต้องการและพลังในใจของเราเอง คำถามที่ครูใช้ในแต่ละหัวข้อช่วยกระตุ้นให้เราออกไปแตะพื้นที่นอก comfort zone ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยกล้าจะค้นหา”

“คือครั้งแรกที่ได้สื่อสารกับความทุกข์ของตัวเองแบบประจันหน้าอย่างมีสติที่สุด … ได้เข้าไปทำความเข้าใจมันลึกขึ้น จน…ร้องไห้ไม่หยุด… เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่ติดค้างในใจ และได้โอบกอดตัวเองที่อ่อนแอคนนั้นจากใจจริง ฮีลใจดีมากๆ เลย”

“การสนทนากับความทุกข์ เพราะทำให้รู้ว่ายังมีความทุกข์เก่าที่ค้างใจอยู่นาน การเขียนช่วยให้ค่อยๆคลี่คลาย มองเห็นเส้นทางการเติบโตในใจจากความทุกข์ที่เจ็บปวดนั้น จนงอกงามออกมาได้ ทำให้เข้าใจและมีพลังใจมากขึ้นค่ะ”

“รู้สึกสบายใจขึ้น ได้เยียวยาความเจ็บปวดที่มีมานาน ได้ตระหนักถึงคุณค่าของครูบาอาจารย์ในสายธรรมที่ช่วยเป็นดั่งปีกแห่งการมองเห็นคุณค่าและการอยู่ตรงนั้นด้วยความรักและเปิดกว้าง รวมถึงเริ่มรู้วิธีสื่อสารกับร่างกายที่มีอาการเจ็บโดยไม่มีสาเหตุค่ะ ได้ดูแลใจตัวเองโดยเมื่อมีประเด็นทุกข์ในใจ จะกลับมาภาวนากับลมหายใจ และเขียนออกมา ควบคู่กับการใช้การ์ดต่างๆช่วยนำทางให้ใคร่ครวญจนเห็นทางออกเพิ่มเติมค่ะ”

“สิ่งที่มีค่าที่สุดใน 6 วันสำหรับหนูคือ คำตอบที่ว่าทำไมเราควรเปิดแผลตัวเองบ้าง ในบางครั้ง ครั้งหนึ่งหนูเคยแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีสุดๆ กับผู้ใหญ่ หนูโกรธเขาทุกครั้งที่พูดถึง มันรุนแรงขนาดที่ว่า แค่พูดถึงคนรอบข้างเขา หนูก็มีปฏิกิริยาทางกายแล้วค่ะ หัวใจหนูเต้นเร็วมาก ตอนนั้นหนูไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโกรธรุนแรงมาก จนหนูพบว่า ตัวเองมีปมค้างใจที่ไม่ได้รับการแก้ไข เขาคนนั้นเป็นแค่ตัวกระตุ้น และโชคไม่ดีที่มีสะกิดปมนี้ในช่วงเวลาที่ความอดทนหนูพังพอดี… ”

“รู้สึก ว้าวมากๆ คืนที่ 2 ที่ เลือก คำ ความสุข และ เขียนเราเคยความสุข ความรู้สึกนี้เมื่อไร / มีความใจหายที่เราไม่มีความทรงจำในวัยเด็กที่ดี แต่จบท้ายการเขียน / ว่าไม่เคยมี แต่เรามีอยู่แล้ว มีอยู่ทุกอย่าง สร้างเองได้ และไม่เคยขาดเลย”

“รู้สึกดีใจที่ได้เรียนการเขียนเยียวยา ทำให้เราค้นพบว่าเราก็เขียนได้เหมือนกันนะ เพราะปกติเป็นคนไม่เขียนdiary จึงไม่คิดว่าตัวเองจะเขียนได้ และค้นพบว่าการเขียนช่วยทำให้จิตใจเราผ่อนคลาย ทำให้ความทุกข์ที่เรามีบรรเทาเบาบางลง เพราะเราได้เขียนระบายออกมา ทำให้ใจเราเบาสบายขึ้น เข้าใจในตัวเองมากขึ้น
– 1 ทำให้ค้นพบอีกวิธีในการสื่อสารกับร่างกายและจิตใจของตนเอง นอกเหนือจากวิธีพูดคุยกับตัวเองที่เคยทำมา
2 ทำให้มองเห็นตัวตนของตัวเองชัดเจนและละเอียดขึ้นมาก โดยเฉพาะภายในจิตใจ เพราะปกติเป็นคนทำอะไรค่อนข้างไว และมีปัญหารอบตัว/สุขภาพตัวเองที่ต้องจัดการเยอะ ทำให้ไม่ค่อยได้โฟกัสกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ
3 ทำให้เรามีสิ่งที่คลายเครียด ผ่อนคลายตนเอง จากความเจ็บปวด และผลข้างเคียงจากการให้คีโมรักษามะเร็ง
4 ทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น เห็นคุณค่าในตัวเอง อยากสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
5 ทำให้เราปลดล็อคตัวเองจากความทุกข์ในอดีต และให้อภัย เข้าใจความทุกข์ และคนที่ทำให้เราทุกข์ได้ดีขึ้น”

“แปลกใจในแง่ที่ดีสำหรับการเรียนรู้เนื้อหาที่จุดประกายให้สำรวจความคิดในปัจจุบันของตัวเองโดยผนวกเข้ากับสิ่งที่เจออยู่ในปัจจุบันจริงๆไม่ใช่เป็นการปฎิบัติธรรมในสภาวะแวดล้อมที่ดีไซน์เอาไว้”

“ชอบแบบฝึกหัดทุกแบบฝึกหัดเลย แต่ที่ชอบเป็นที่สุดคือแบบฝึกหัดแรกที่ว่า “แล้วฉันต้องการเป็นเพื่อนแบบไหนแก่ตัวเอง และแก่เพื่อนร่วมเรียนรู้” โดยเฉพาะ ฉันต้องการให้การเขียนเป็นเหมือนเพื่อนและคนแบบไหน การเขียนทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิด ณ ตอนนั้นเป็นอย่างไร และรู้ว่าการเขียนทำให้เราหายเหงาแม้เราจะอยู่คนเดียวเพราะเรามีการเขียนคอยอยู่เป็นเพื่อน…. ต้องการให้การเขียนเป็นเหมือนเพื่อนคอยปลอบประโลมยามที่เราต้องการใครซักคน ยามที่เราเศร้าและต้องการคำปรึกษา ยามที่ทุกคนหันหลังให้กับเราแล้วมีการเขียนนี่แหละ คอยเป็นเพื่อนที่คอยให้กำลังใจ ให้ความห่วงใยถึงแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดต่อคนทั้งโลกก็ตาม”

“ชอบคือสนทนากับร่างกาย วันที่ได้เรียนเนื้อหานี้คือเมื่อยจริงจัง จากการนั่งทำงาน สภาพที่นั่งในวันนั้นคือหมดหวังมาก ทั้งง่วงทั้งเมื่อย ทำให้เราค่อยๆเข้าใจร่างกาย และคุยกับเค้า ผ่อนคลายมากขึ้น รู้สึกประทับใจในกิจกรรมแต่ละกิจกรรม ที่คุณครูนำมาสอน ได้คุยกับตัวเองมากขึ้น ทำให้ผ่อนคลาย เกิดความคิดและตัดสินใจบางอย่างที่ค้างคามานาน”

“รู้สึกว่าการเรียนเนื้อหานี้ มันปลอดภัย และ พบด้วยประสบการณ์ว่า การเยียวยา ที่ปลอดภัย ไม่ใช่การไขว่คว้า และ กระเสือกกระสน แท้จริง แค่นี้เองเหรอ และ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ หากเราต้องการซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ซึ่งมันอาจจะต่างจากคนอื่น คนทั้งโลกอาจจะไม่ได้รู้สึกเรื่องที่เรากำลังเผชิญ การเขียน ก็ช่วยได้มาก ในกาละและ เทศะที่เราตะโกนไม่ได้ 55555 แบบฝึกหัดแรกนี้ ดูเรียบง่าย แต่ก็รู้สึกว่าเมื่อมาทำต่อในชีวิตประจำวัน ก็เท่านี้เลย จริง เริ่มทำเลย และ ไม่ต้องคิด ลงมือ”

“ได้เชื่อมโยงกับตัวตนภายในชัดเจน ที่มีแต่ความรักไร้เงื่อนไข มีความอบอุ่น แม้ในวันที่เรามีทั้งความสุข ความทุกข์ แปลกใจมากตอนที่เขียนด้วนมือไม่ถนัด ในหัวได้ยินเสียงภายใน สื่อสารอย่างนุ่มนวลอบอุ่น เป็นกำลังใจเราตลอดเวลา เค้าไม่เคยทิ้งเราแม้ในยามที่เราทุกข์อยู่นอก confort zone ค่ะ แบะการนึกถึวความสุข ทำใก้เกิดอารมณ์ uplift เราได้อย่างง่ายๆ สะสมไว้ในตระกร้าความสุขของตัวเองค่ะ เนื้อหาสองวันสุดท้าย ได้รับแต่ข้อความที่สื่อได้ถึงการวางใจ เบาสบายใจ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต แม้แต่พอนึกถึงความทุกข์ใจที่เคยเกิดขึ้น ชั้นจะมีตัวตนภายในอยู่ด้วยตลอดเวลา you’re never alone ค่ะ”