บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๓

“ผมได้มองเห็นหลายๆมุมในตัวเองไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง ผมเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ผมก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่ง ในด้านที่ผมใจร้อนนี้ทำให้ผมเป็นคนจริงใจมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คิดอะไรก็สามารถลงมือทำได้โดยเร็ว ไม่ต้องรอเวลา ผมแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แข็งกร้าวลดลงก็จะสามารถทำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้นโดยเป็นสิ่งที่ดีที่อยู่ในพื้นฐานของคำว่า “อารมณ์ร้อน” ปกติผมคิดว่าผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเลยคิดว่าสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ข้างในถ้าเราจะสื่อสารออกมาให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้นั้นเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นจุดอ่อน แต่มันกลับทำให้ผมรู้จักคิดสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตแม้ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดแค่เราถ่ายทอดมันออกไปจากความรู้สึก ผมได้มองเห็นศักยภาพในตัวเองในด้านต่างๆเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องค้นหาแค่ดึงสิ่งที่เป็นอยู่ออกมาให้ได้ การมีสติรอบๆตัว การสังเกตุคนรอบข้าง เมื่อก่อนผมไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ เพราะความกลัว เกิดจากการที่ผมไม่รู้จักตัวเองว่าศักยภาพเรามีเท่าไหร่ ด้านไหนที่เราสามารถนำมาใช้งานได้ ด้านไหนไม่ใช่ของเรา ผมคิดว่าถ้าต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกในตอนนี้ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วกับสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้พูดว่าความกลัวผมจะลดลง แต่ผมสามารถนำศักยภาพที่ผมมีอยู่ ในการรับมือกับสิ่งเหล่านั้น”


/ นายกิตติธัช มิตรดี มหาวิทยาลัยบูรพา

“จากการบันทึกทำให้รู้ว่าตัวเอง มีข้อผิดพลาดตรงที่ไม่ยอมฟังความคิดเห็น ความรู้สึกของคนอื่นๆ คิดถึงแต่ความรู้สึกตนเอง พอมีปัญหาถึงค่อยกลับมาคิดว่าทบทวน บางเหตุการณ์ยังดีที่มีเวลากลับไปแก้ไข แต่บางเหตุการณ์อาจไม่มีโอกาสเลยก็ได้ และหลังจากที่ได้เรียนวิชานี้ทำให้ ได้สงบ ได้เปิดใจ ได้ฟัง ได้พูด เหมือนเดินออกมาจากโลกของตัวเอง ได้ทิ้งความรู้สึกของตัวเองออกไปเดินออกมาฟังความคิด ความรู้สึกต่างๆ มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้นว่าเรา ทำอะไร รู้สึกอะไร อะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคในการทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จ รวมถึงเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการมองคน ว่าควรเปิดใจทำความรู้จักเค้าให้ดีก่อน ถึงค่อยตัดสินว่าเค้าเป็นคนดีหรือไม่ ได้รู้ว่าในข้อดีก็ล้วนมีข้อเสีย ในข้อเสียก็ยังมีสิ่งดีๆ รู้จักการคิดในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นได้ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่วัยเด็กจนปัจจุบัน นึกถึงเรื่องราวดีๆ นึกถึงคนที่ตอนนี้เราอาจจะลืมเค้าไปแล้วทั้งๆที่แต่ก่อนสนิทกันมาก ได้ทำให้เค้าใจตนเองมากขึ้น ผ่านการคิดและวิเคราะห์
คนที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำอะไรดีๆก็คือ “ แม่ ”
ต่อไปนี้ก็จะตั้งใจเรียนมากขึ้น พยายามเข้าใจปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่จะต้องเจอระหว่างทาง จะให้ความสำคัญของเป้าหมายมากกว่า ความรู้สึกท้อแท้ต่างๆ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรียนจบแม่คงจะไม่ต้องเหนื่อยเพราะเป็นลูกคนสุดท้าย ที่แม่ยังคงต้องมีภาระส่งให้ใช้ ส่งให้เรียนอยู่ เรียนจบแล้วก็จะออกไปหาประสบการณ์ชีวิตในทางของตัวเองก่อนก่อน ถึงจะค่อยกลับมาทำงานที่บ้า
และอยากมีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย อยากใช้ชีวิตง่ายๆสบายๆอยู่ต่างจังหวัด มากกว่าที่จะต้องมาวุ่นวายและดิ้นรนในเมือง ไม่ชอบชีวิตในแบบสังคมเมืองที่คนแก่งแย่งชิงดี ปัญหาขโมยและสิ่งไม่ดีๆหลายๆอย่าง ไม่ต้องการที่จะทำงานๆๆๆๆๆ มีเงินเยอะๆ มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กลับไม่มีเวลาพักผ่อนไม่มีเวลาที่จะหาความสุขให้ตัวเอง สุดท้ายเงินที่หามาก็ต้องเอาไปรักษาตัวตอนแก่ ตอนที่ไม่มีแรงจะเอาเงินที่หามาได้ ออกไปหาความสุขได้ที่ไหนแล้ว”


/ นางสาวฤดีวรรณ ทิพวัน


“สิ่งที่สะท้อนจากสองบันทึกแรก…บันทึกแรกเป็นเรื่องราวชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา คนอาจมองว่าอายุแค่20 จะผ่านมาได้สักกี่น้ำเชียว แต่สำหรับฉันมันสอนอะไรหลายอย่างๆ สอนให้รู้จักโลกที่เราอยู่มากขึ้น ว่าเราควรเอาตัวรอดยังไงให้เรามีชีวิตเพื่อวันพรุ่งนี้ จากบันทึกที่สองของขวัญที่ได้มาก็คงเป็น “ประสบการณ์” ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่หนองคายบางอย่างอยากลืม แต่บางอย่างมันก็ไม่ควรลืม เราไม่ควรลืมว่าเราจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้ถ้าในอดีตเราไม่ได้ทำไว้ ไม่ได้สร้างมันไว้ ถ้าตอนนั้นเราไม่เคยลำบาก ไม่รู้จักดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ไม่พบเจอคำดูถูก เพียงเพราะบ้านเราจน อาจจะไม่ใช่แค่บ้านจน อาจจะเป็นเพราะตัวดิฉันเองที่ไม่ชอบทำตามแบบใคร ใครสั่งสอนให้ทำอะไรก็ไม่เคยจะทำอยากเป็นตัวเราเองให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันมานั่งคิดว่าเราผ่านมาได้ไงวะบางวันเงินไม่มีสักบาทต้องดิ้นรนหาเงินค่าขนม ค่าขนมก็ได้มาจากเกี่ยวหญ้าล้างจาน เลี้ยงวัว ถอนผมหงอกให้ป้าๆห้าบาทสิบบาท บางวันไม่มีกับข้าวไม่มีแม้กระทั่งไข่ มีแค่ข้าวเหนียวที่แม่นึ่งให้กินตอนเช้ากับเกลือเพื่อรองท้องไปเรียน

แต่ดิฉันไม่เคยน้อยใจในโชคชะตา ฉันคิดว่ามันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ครอบครัวเราลำบากแต่เรายังอยู่ด้วยกัน มันเป็นความอบอุ่นที่มันมาพร้อมความลำบาก ถามว่าตอนนี้โอเคมั้ยสำหรับทุกๆเรื่องที่ผ่านมาในอดีต คำตอบก็คงจะห้าสิบห้าสิบ เพราะเพียงคำดูถูกทำให้เรารู้สึกโกรธอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรายึดติด คำดูถูกมันก็ดีเพราะมันเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เรามายืนถึงจุดๆนี้ได้ ตอนนี้อะไรคงไม่สำคัญเท่ากับครอบครัวดิฉันแล้ว เพราะเวลาที่เราอยู่พร้อมหน้ากันห้าคน จะไม่มีช่วงไหนเลยที่จะเงียบ ไม่มีช่วงไหนที่เราจะไม่หัวเราะ ไม่มีช่วงไหนที่เราสามคนพี่น้องจะไม่กัดกัน ไม่แย่งกันพูด นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนจากอดีตที่ผ่านมามันส่งผลให้เรามีทุกวันนี้…จากการเรียนรู้ในห้องเรียนทำให้เห็นตัวเองเป็นคนที่สู้ชีวิตคนหนึ่งเป็นคนที่เคยลำบากแล้วต้องการที่จะสบาย ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราปรารถนาลึกๆในใจคืออะไร เราต้องการอะไรในชีวิต ทำให้เราคิดได้ว่าบางสิ่งบางอย่างใจเราต้องการที่จะให้เป็นแบบนั้นหรือป่าว

ตอนนี้ทำให้เรารู้หัวใจตัวเองว่าควรที่จะพัก ไม่ควรที่จะฝืนมันให้เหนื่อย อยากจะวางทุกสิ่งทุกอย่างที่มันหนักอึ้งอยู่ในใจ บางทีถ้าเราปล่อยวางมันอาจจะทำให้ใจเราดีขึ้นก็ได้ ไม่ต้องเหม่อลอยเพราะมัวแต่คิด ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนอมทุกข์ บางทีไอ้คำว่าปล่อยวางอาจจะทำให้เรายิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต้องทุกข์ก็ได้…ความเข้าใจในชีวิตและแรงบันดาลใจ ทำให้เข้าใจว่ากว่าเราจะมีกินทุกวันนี้ กว่าเราจะได้เงินมาได้มันลำบากขนาดไหน พอมาจุดนี้เมื่อเราได้กินของดีๆเช่นกระเพราไก่ แต่ละคำที่เรากินมันมีค่ามาก เพราะเราไม่เคยได้กินมัน ขายของมาได้เงินเห็นเงินมันก็ทำให้เราหายเหนื่อย แต่อย่าว่างั้นงี้คนไม่เคยมีอย่างดิฉัน พอมีเงินก็อยากจะไปซื้อนั่นนี้ซื้อสิ่งที่เราเคยอยากได้อยากมี ไปกินของนั่นนี้ที่แต่ก่อนได้แต่มองเขากินแล้วต้องบอกว่าเราไม่ได้อยากกินทั้งๆที่ท้องมันร้องอยากจะกินให้ได้

แค่อยากจะบอกกับคนที่กำลังเจอเหตุการณ์คล้ายๆดิฉัน แค่อยากให้อดทนไว้สิ่งเรานี้ที่มันเกิดขึ้นมันจะทำให้วันข้างหน้าเราสุขสบาย ดิฉันเข้าใจดีเพราะว่าฉันเคยผ่านมันมา เลยรู้ว่ารู้สึกยังไง ลำบากยังไง…สิ่งที่ตั้งใจจะทำ อยากเรียนให้จบมีหน้าที่การงานที่ดี อยากปลูกบ้านให้เป็นของๆเราที่ไม่ใช่อาศัยทั้งบ้านเขาน้ำไฟเขาใช้ ทดแทนพระคุณพ่อแม่เท่าที่ลูกคนนี้จะทำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจจริงๆอยากจะบวชสักครั้งในชีวิต แต่เห็นทีพ่อแม่จะไม่อนุญาต…”


/ นางสาวพิมพลอย อินทรัตน์