5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต (ตอนแรก)

 

ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ-1

 

5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต

#ไม่ต้องเข้าคอร์สหรูก็รู้ได้   (ตอนแรก)

เผยเบื้องหลังคอร์สสะกดจิต อำนาจที่เรามีอยู่แล้วในตนเอง ไม่ว่าเราเข้าอบรมคอร์สถูก คอร์สแพง หรือเรียนด้วยตนเอง หากเข้าใจแก่นหลักอย่างถ่องแท้ เราย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจการสะกดจิตจากใคร แม้แต่สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเองก็ตาม
.
บ่อยครั้งที่เราใช้ชีวิตอย่างหุ่นชักใย เราไม่มีอิสระและความสุขอย่างแท้จริง ถูกชักพาไปทางโน้นทางนี้ที เดี๋ยวก็เป็นความคาดหวังจากคนอื่น เดี๋ยวก็สิ่งกระตุ้นเย้าแหย่จากสื่อหลายๆ ทาง หรือบางครั้งเราอาจนึกสงสัยว่า เพราะอะไรเราจึงทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้เต็มที่ หรือเหตุใดชีวิตถึงต้องมาติดอยู่แบบนี้ เราถูกผูกมัดด้วยหลายสิ่ง โดยเฉพาะข้างในตัวเราเอง
.
คนต่างต้องการ “อิสรภาพ” และความสุข แต่หัวใจกลับพาทำสิ่งที่ตรงข้าม สร้าง “เงื่อนไข” มากมายให้แก่ตัวเองเพื่อจะมีความสุข แต่ผลยิ่งทำให้เราไกลจากความพอใจในตนเองมากขึ้นทุกที จนกว่าเราจะหันหลับมาดูแล นัก “สะกด” จิตในตัวเอง ที่ “สกัด” กั้นศักยภาพและอำนาจที่มีอยู่แล้ว
.
อำนาจที่จะมีความสุขและอิสระอยู่ใจเราเสมอ
.
บทความนี้นำเสนอ 3 ข้อคิดแรกซึ่งเป็นทั้งแง่คิดและวิธีการ ก้าวข้ามพ้นไปจากขอบความเชื่อที่ตนติดอยู่ หากผู้อ่านมีข้อคิดเห็นหรือมีเทคนิคใดเพิ่มเติมจากบทความ สามารถแลกเปลี่ยนได้ตามช่องทางที่เหมาะสม
.
.
1 เราสะกดจิตตัวเองทุกวันด้วยความเชื่อ
.
เมื่อพูดถึงการสะกดจิต เราก็มักจะนึกถึงการใช้พลังอำนาจจากคนอื่น บังคับสั่งการจิตใจเรา แต่แท้จริงแล้วนั้นการสะกดจิตก็คือการทำงานของจิตที่มีผลต่อร่างกาย จิตใจ และชีวิตทุกๆ ด้าน อยู่ในตัวเรานั่นเอง มิใช่จากใครอื่น
.
การฝึกสะกดจิต ก็คือการฝึกกำกับดูแลการทำงานของจิตใจ เพื่อความสุขและชีวิตที่พึงปรารถนาอย่างที่เราเป็นได้อยู่แล้ว หากไม่ถูกการทำงานของจิตใจแบบเดิมๆ ปิดกั้นไปเสียก่อน
.
การทำงานของจิตในที่นี้ ก็คือความรู้สึก ความนึก และความคิด ปรุงแต่งเวียนวนสะกดตัวเราอยู่ในร่องเดิมๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเวลา โดยปราศจากการควบคุม เราก็เหมือนเรือที่ล่องอย่างไร้ใบเรือในทะเลกว้างใหญ่
.
สิ่งที่แอบอยู่เบื้องหลังความรู้สึก นึก และคิดที่เวียนวน พาเราสุขทุกข์ต่างๆ นั่นคือ “ความเชื่อ” หรือมุมมองทัศนคติที่เรามีต่อตัวเอง ต่อชีวิต และสิ่งต่างๆ ที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ เปรียบเหมือน “แว่น” ที่เราใช้มองโลก
.
นักสะกดจิตที่แท้จริงก็คือความเชื่อในตัวเรา เรามีมุมมองอย่างไร เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีจากมุมมองนั้นๆ เช่น หากเรารักและเชื่อว่าสิ่งนั้นมีความหมายกับเรามาก เราก็จะดูแลและใส่ใจสิ่งนั้นเป็นอย่างดี หากเราเกลียดและมองสิ่งที่ว่านั้นว่าน่ารังเกียจ ท่าทีก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
.
ดังนั้น ทุกความเชื่อในใจเรา ก็จะผลักดันให้เราทำสิ่งต่างๆ จึงนำมาสู่ความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง สำเร็จและล้มเหลว ด้วยความเชื่อที่แอบชักใยอยู่ใกล้ๆ ทั้งสิ้น บางทีโลกไม่ได้หม่นเศร้าอย่างที่เข้าใจ แค่แว่นที่เราสวมมันหม่นหมองไปเท่านั้น
.
เมื่อเราเชื่อว่าตัวเองไม่มีคุณค่าเพียงพอ เราก็ย่อมคิดย้ำคิดร้ายในทางลบ คำพูดต่อตัวเองในใจและการกระทำทั้งหลายก็บั่นทอนตัวเอง วกวนเวียน เพราะเราไม่ได้กลับมารู้ทันและจัดการกับเจ้านักสะกดจิตตนนี้ เพียงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ตามที่จิตใจจะชักใยไปในทางใด แล้วเราก็เผลอสร้างเงื่อนไขขึ้นมามากมาย จากเชือกใยที่ผูกตัวเรานั่นเอง
.
คอร์สการสะกดจิต จึงแนะนำให้เรา มองดี คิดดี และพูดดี อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เราสะกดจิตใจของตนเองให้ทำงานไปในทิศทางที่ดี ต่อกาย ต่อใจ และต่อทุกด้านของชีวิต
.
อีกทั้ง ยังโน้มน้าวใจเรา ให้เชื่อว่า วิทยากรผู้สอนหรือผู้บำบัด สามารถผลักดันจิตใจเราสู่แสงสว่างได้ เพราะเมื่อเราเชื่อแล้ว เราก็ย่อมเปิดใจ ไม่นำอคติและการคิดตัดสินตีความทั้งหลายมาขวางกั้นสิ่งที่ดี แต่หากสุดโต่งเกินไปก็กลายเป็นการพึ่งพาอย่างไม่เห็นค่าในตัวเอง
.
แต่ทั้งการเปิดใจและความเชื่อนั้น ต่างเป็นสิ่งที่ใครให้ไม่ได้ เราเองเท่านั้นเป็นผู้คิด และเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น แล้วคนที่จะแก้ไขได้ก็คือเรา ครูหรือวิทยากรก็เพียงผู้ส่งเสริมและแนะนำหนทางผ่านคำพูด ท่าที และวิธีการ ให้เราสั่งจิตสะกดใจตนเองให้อยู่ในทางที่เหมาะสม
.
เมื่อเราเห็นอำนาจของความเชื่อที่เป็นแรงผลักดันหรือบั่นทอนในตัวเอง เราก็ย่อมหันหน้ามาดูแลและจัดการ ไม่ปล่อยให้เราถูกลากจูงไปเรื่อยๆ หรือปิดกั้นอยู่อย่างนั้นตลอดไป
.
ความเชื่อก่อให้เกิดการกระทำ ทั้งกาย วาจา และความนึกคิด เหล่านี้คือนักสะกดจิตในตัวเรา บางครั้งก็ต้องฝึกที่จะฝืนความเชื่อและท่าทีเดิมๆ ของตน ใช้กาย วาจา หรือความนึกคิด จูงใจหรือชักนำตนเอง พาไปในทางที่เหมาะสม ทุกสิ่งที่มีในหัวใจเกิดจากการเลือก การกระทำทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
.
.
2 ทุกสิ่งในหัวใจเราเลือกเอง
.
มิว่าความสุขและความทุกข์ล้วนเกิดขึ้นจากหัวใจเรา คนอื่นและสิ่งรอบข้างเป็นเพียงปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นเท่านั้น แต่เราเลือกเองว่าเราจะรู้สึก นึก และคิดอย่างไร โดยขึ้นอยู่กับมุมมองหรือความเชื่อที่เรามี
.
หากเราเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แม้เลวร้ายปานนี้ก็เป็นครู หรือเห็นความเป็นธรรมชาติที่มีเสื่อม มีทุกข์ และไม่แน่นอน หัวใจเราก็สงบลงและพร้อมเติบโตกับบาดแผลที่เกิด ไม่มีใครเลือกให้เราได้ มีแค่คนๆ เดียวเท่านั้นที่เลือกให้เรา
.
เมื่อปล่อยให้การทำงานของจิตเป็นไปอย่างอัตโนมัติ วันแล้ววันเล่า เราก็เหมือนหุ่นชักใย ซึ่งขยับไกวไปตามการถูกชักนำ จนลืมไปว่าแท้จริงแล้ว ทั้งความรู้สึก ความนึก และความคิด ล้วนเกิดขึ้นจากตัวเราเป็นผู้เลือกทั้งสิ้น เรามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่ในหัวใจตนเองอยู่แล้ว คือการเลือกความรู้สึก นึก คิด และชีวิตที่มีคุณค่าเหมาะสมกับคุณค่าของตนเอง
.
แว่นที่เราสวมใส่ในชีวิตประจำวัน เราเองก็เป็นผู้หยิบสวม ความเชื่อและความรู้สึกในใจก็เคยเป็นการเลือกจากตัวเราในอดีต เพื่อรับมือดูแลสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต ซึ่งมักมาจากวัยเด็ก เป็น “เด็กน้อยภายใน” ตัวเรา แล้วเราก็ติดหรือเคยชินที่จะมองโลกและรู้สึกเช่นเดิม แม้มันจะไม่ใช่ความจริงทั้งสิ้นก็ตาม
.
สิ่งต่างๆ นอกตัว เป็นเพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นเร้าเท่านั้น นักสะกดจิตในการอบรมก็เพียงผู้โน้มน้าวจิตใจผู้เรียนผ่านภาษา และเทคนิควิธีการ เพื่อจูงจิตจูงใจเราไปในทิศทางที่เหมาะควร แต่เรายังอยู่กับนักสะกดจิตที่มีจำนวนมากมายกว่านั้นในแต่ละวัน ทั้งสื่อต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณารอบๆ ตัว คำพูดจากคนอื่นที่ฝังใจ สภาพแวดล้อมที่บ้านและการทำงาน และอื่นๆ อีกมากที่จูงจิตจูงใจเราไปต่างๆ นานา
.
หากเราขาดความมั่นคงในจิตใจ ไม่สำรวจและดูแลความรู้สึกนึกคิดของตน เราย่อมเป็นเหยื่อของการโฆษณาที่มุ่งปลูกฝังความเชื่อและค่านิยมแก่จิตใจ เราก็จะไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นอย่างแท้จริง แต่สร้างเงื่อนไขต่างๆ มากมายจากสิ่งที่สะกดจิตเราเหล่านั้น ผูกรัดชักใย รู้สึกนึกคิดและใช้ชีวิตไปตามที่โฆษณาและสื่อต่างๆ ป้อนแก่ใจ รวมทั้งนำการกระทำและความคิดจากคนอื่นมาบั่นทอนคุณค่าชีวิตตน
.
เราใช้ชีวิตไปกับการยุ่งสิ่งต่างๆ นอกตัวมาก แล้วสิ่งเหล่านั้นก็มามีผลต่อหัวใจเรา จนบางทีเราก็ลืมไปว่า แท้จริงแล้วเราเป็นคนอย่างไร มีศักยภาพ คุณค่าและความหมายในชีวิตอย่างไร คำตอบนี้ไม่เคยไปไหน แต่จะปรากฏเมื่อเราย้อนกลับมาดูแลหัวใจเรา จัดการความรู้สึก ความนึก และความคิด ย้อนดูแว่นและเปลี่ยนแว่นบ้าง
.
ย้ำกับตนเองอยู่เสมอในสิ่งที่เราควรใส่ใจ เหมือนบอกเด็กน้อยในตัวเราเอง หากเราย้ำคิดแต่สิ่งลบร้ายและสิ่งไร้ค่า ก็เหมือนสอนตัวเองให้เป็นแต่สิ่งเหล่านั้น หมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายในหัวใจและการกระทำ เกิดขึ้นจากการเลือกของตัวเราทั้งสิ้น เราจะเลือกความรู้สึก นึก คิด และการกระทำให้ตัวเองเป็นเหมือนของขวัญสำหรับทุกช่วงเวลาของชีวิต หรือเลือกให้เป็นมีดคอยทิ่มแทงใจ หรือเชือกผูกเราไว้เยี่ยงทาส
.
เมื่อเรามีสติ เราจะรู้เองว่าสิ่งใดที่ “ควรค่า” แก่ชีวิต และสิ่งใดที่ “ควรฆ่า” ไปจากชีวิต ไยต้องเลือกให้หัวใจตัวเองเป็น “ถังขยะ” เก็บความรู้สึกขยะและความคิดขยะไว้ ในเมื่อเราสามารถให้หัวใจตัวเอง เป็นดั่ง “บ้าน” เก็บแต่สิ่งที่ดีและความอบอุ่นให้ตนเอง ทั้งหมดนี้ไม่มีใครบังคับเรา ตนเองเท่านั้นเป็นผู้เลือก
.
ทุกครั้งที่เรารู้สึกแย่ หรือกำลังทำอะไรบางอย่างด้วยอารมณ์ชักนำ ลองถามใจเราว่า เรากำลังเลือกสิ่งใดให้ตัวเอง สิ่งนี้มีคุณค่าเหมาะสมกับตัวเราแล้วหรือไม่ เรายังสามารถเลือกสิ่งใดให้กับตัวเองในตอนนี้ อย่าลืมว่าแม้ความรู้สึกหม่นหมองที่กัดกินหัวใจ เราเองก็เป็นผู้เลือกมา เราเปลี่ยนมันได้แค่ด้วยการเลือกใหม่เท่านั้น
.
อย่าอยู่กับความคิดมากเกินไป ความคิดมักพาเราเดินวนในตรอกเดิมๆ ปรุงแต่งไปตามกลไกของจิตใจ เหมือนกับการปล่อยให้เรือล่องลอยไปเรื่อยๆ โดยไร้กัปตัน ใช้การลงมือทำให้มาก ฝึกฝนตนเองและทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำ ให้ปัจจุบันนำทางแทนที่อารมณ์หรือความคิด กุมบังเหียนชีวิตตัวเองด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ชักนำเราไปเรื่อยๆ อย่างไร้ความหมายในชีวิต
.
.
3 โลกกว้างกว่าที่เราเห็น โลกมียิ่งกว่าที่เรารู้
.
สิ่งที่เราคิด ไม่ใช่ความจริง เพียงแค่การคาดการณ์และการตีความจากความจริงเท่านั้น สิ่งที่เราเชื่อว่าเราเป็น นั่นแค่ด้านเดียวของทั้งหมด เรารู้ว่าเราเชื่ออะไร มีมุมมองอย่างไร นั่นให้นำมาใช้ให้เกิดผล แต่ไม่ควรยึดไว้เสียจนปิดดวงตาเราจากโลกที่เป็นจริง นอกสายตา
.
นิ้วที่ชี้ไปยังพระจันทร์ ไม่ใช่ตัวพระจันทร์ ความคิดเกี่ยวกับความจริงที่เรารู้ ก็ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นเพียงการตีความจากประสบการณ์และการคาดการณ์เท่านั้น ซึ่งมีส่วนถูกและส่วนผิด
.
การเปลี่ยนความเชื่อที่มีผลเสียต่อตัวเราเอง เราต้องฝึกวางการยึดติดในความคิดของตน และอยู่กับสิ่งที่เป็นจริงตรงหน้า อย่างไม่ด่วนตัดสินหรือตีความ บางท่าทีที่เราเห็นตรงหน้า อาจไม่ได้มีความหมายอย่างที่เราเข้าใจ สิ่งที่เราคิดว่าแย่กับชีวิต แท้จริงอาจเป็นคุณมากเสียกว่าก็เป็นได้
.
การฝึกสติและลงมือทำ จึงเป็นกุญแจสำคัญ หากเราเผลออยู่กับความคิดมากเสียแล้ว เราก็พลั้งทำร้ายตัวเองและสิ่งมีค่าในชีวิตไปได้ง่ายดาย เพราะด้วยการตีความไปเอง หรือมองในทางร้ายหรือดีเกินไป เราต้องรู้ทันนักสะกดจิตข้างใน เพื่อไม่ให้ชีวิตเราถูกสะกดอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆ ที่บั่นทอน
.
ดังนั้น ไม่ว่าเราเชื่ออย่างไร หรือมีมุมมองต่อตัวเองแบบไหน เราจึงควรกลับมาตรวจสอบว่า ความคิดและความเชื่อนั้น เป็นความจริงหรือไม่ใช่ความจริง มีสถานการณ์ใดที่สิ่งที่คิดนั้นไม่ตรง ความเชื่อที่ว่านี้เป็นคุณและเป็นโทษอย่างไร ด้วยอาศัยข้อมูล เหตุผล แล้วมองหลากหลายด้าน
.
ทุกความเชื่อนั้นมีคุณค่า แต่เมื่อยึดไว้มากหรือสุดโต่งก็เป็นโทษเช่นกัน คอร์สพัฒนาชีวิตบางแห่ง สอนว่า “คิดอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น” หรือกระทั่งสอนว่า “ทำบุญมากก็ยิ่งประสบความสำเร็จ” ทั้งสองความเชื่อนี้มีประโยชน์ แต่หากยึดไว้โดยขาดปัญญาและมุมมองด้านตรงข้ามมาช่วยเสริมแล้ว เราก็สามารถหลงในความคิดของตนเอง ทำเกินตัว สูญทรัพย์เกินกำลัง และมัวเมาในบุญอย่างมิจฉาทิฐิ
.
เมื่อเรารู้ว่าเรามีความเชื่อใด หรือมีคติประจำใจแบบไหนแล้ว เราต้องฝึกใจและความคิดให้น้อมนำความเชื่อและคติอีกด้านเข้ามาประกอบให้สมดุล “คิดอย่างไรก็ให้ผลจากความคิดนั้น” และ “เป็นไปตามปัจจัยต่างๆ ที่เราไม่อาจควบคุมได้ทั้งหมด” เมื่อมองจากสองด้านอย่างพอดี ชีวิตเราย่อมทำสิ่งต่างๆ ไม่เอนเอียงจนล้มไม่เป็นท่า
.
“ทำบุญมากก็ยิ่งเกื้อกูลชีวิต” แต่ “การให้ทานก็เพียงบุญพื้นฐานเท่านั้น” ต้อง “ทำสมาธิภาวนาจึงเกิดบุญกุศลต่อตนมากกว่า เพราะขัดเกลาจิตใจจากความโลภ โกรธ หลง”
.
หากเราเชื่อมั่นในคุณค่าตัวเองจากการเป็นผู้ให้ เรายิ่งต้องย้อนกลับมาดูว่า หากเอาแต่เป็นผู้ให้คนอื่นอย่างเดียว ผลเสียที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เราอาจช่วยเหลือคนอื่นจนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่จิตใจเราได้ใฝ่พัฒนาให้ดีขึ้นแล้วหรือยัง ดังนั้น คุณค่าในชีวิตเราจึงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว ลองมองดูคุณค่าชีวิตในสายตาของผู้อื่นที่แตกต่างจากเรา แม้แต่คนที่เราเกลียดก็ตาม สิ่งนั้นมักมีอย่างน้อย 1% ที่เราสามารถนำข้อดีมาช่วยเติมเต็มให้คุณค่าชีวิตเราสมดุลให้มากขึ้น
.
ลองสำรวจความคิดและมุมมองต่อชีวิต ไม่ว่าความรัก คุณค่าในตัวเอง ความหมายของชีวิต เป็นต้น ทำความเข้าใจความจริงจากข้อมูลต่างๆ สังเกตคุณและโทษต่อชีวิตที่ผ่านมาและแนวโน้มในภายหน้า ก่อนเปิดใจว่า “ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราเชื่อทั้งหมด” ลองมองมุมต่างและหาความเชื่ออีกด้านมาประกอบให้พอดี
.
คนต้องก้าวเดินไปด้วยสองขา ฉันใด ชีวิตก็ต้องก้าวไปด้วยความเชื่ออย่างน้อยสองด้าน ฉันนั้น ทุกสิ่งที่เราคิดนั้นดีแล้ว แต่เราจะเป็นสุขและก่อความหมายอย่างแท้จริงในทุกลมหายใจ เมื่อเราไม่ได้ยึดในความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งและแบบใดแบบหนึ่ง
.
ระลึกไว้เสมอว่า “โลกกว้างกว่าหัวตัวเอง” มากนัก เราใช้แต่สมองและเหตุผลเข้าใจชีวิตและหัวใจคนอื่นไม่ได้ เราต้องก้าวออกมาจากหัวตัวเอง แล้วการจะเข้าใจหัวใจคนอื่นได้ก็จะไม่ยากเย็นเช่นกัน
.
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
#คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต
.
( ตอนที่สอง ) www.dhammaliterary.org/5ข้อคิดเปลี่ยนความเชื่อ2/
( ติดตามการอบรม #เขียนเปลี่ยนชีวิต #พลังแห่งจิต #เด็กน้อยภายใน ) www.dhammaliterary.org